วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาวม้งขุนช่างเคี่ยน และเครือข่ายม้งจาก 12 ชุมชนมาร่วมกันทำแนวกันไฟ “ดอยหัวหมู” ระยะทาง 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นแนวกันไฟของบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน หลังจากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเรื่องการดับไฟป่าในปีนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2568 ถือเป็น 90 วันอันตรายที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ได้ตลอดเวลา

เครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งดอยสุเทพ-ปุย 12 ชุมชนอันประกอบด้วย 1. บ้านดอยปุย 2. บ้านขุนช่างเคี่ยน ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ 3. บ้านห้วยเสี้ยว 4. บ้านน้ำซุ่ม-ห้วยกว้าง ต.บ้านปง อ.หางดง 5. บ้านบวกจั่น 6. บ้านบวกเต๋ย 7. บ้านผานกกก ต.โป่งแยง อ.แม่ริม 8. บ้านแม่สาใหม่ 9. แม่สาน้อย 10. บ้านหนองหอยเก่า 11. บ้านหนองหอยใหม่ และ 12. บ้านแม่ขิ ต.แม่แรม อ.แม่ริม มีการรวมตัวเพื่อร่วมกันดูแลรักษาและปกป้องพื้นที่ป่าดอยสุเทพมาตั้งแต่ปี ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้แต่ละชุมชนมีการทำแนวกันไฟ และช่วยกันดับไฟป่าด้วยงบประมาณของชุมชน จนกระทั่งเกิดไฟป่าใหญ่ที่ดอยสุเทพ ทำให้เริ่มมีงบประมาณสนับสนุนจากสถานีควบคุมไฟป่าภูพิงค์ปีละ 50,000 บาท ในจำนวนนี้จะใช้เป็นระยะเวลา 3 เดือนคือ มีนาคม-พฤษภาคม เช่น ที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน สมาชิกที่ช่วยดับไฟป่าจะมาจากตัวแทนครัวเรือนจำนวน 162 ครัวเรือนแบ่งเป็น 11 ชุด ชุดละ 14 คน โดยงบประมาณที่ได้ทางหมู่บ้านจะแบ่งให้สมาชิกแต่ละคน คนละ 200 บาท โดยสมาชิกที่เป็นอาสาสมัครเพื่อดับไฟป่า และเป็นเวรยามเพื่อดับไฟป่าในทุกเวลาที่มีไฟป่าเกิดขึ้นแม้ในยามค่ำคืน

ถ้ายังจำกันได้ย้อนหลังไป 5 ปี ปี 2563 เคยเกิดไฟป่าลามในเขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย ลุกลามในเขตรอยต่อทั้งอำเภอเมือง และอำเภอหางดง ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต่อเนื่องกัน ส่วนหนึ่งนอกจากอุปสรรคในสภาพภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง เชื้อไฟจากเศษซากใบไม้ กิ่งไม้แห้ง ความแห้งแล้ง และมีลมแรง ทั้งเขตรอยต่อเขต อ.เมืองเชียงใหม่ และ อ.หางดง ตั้งแต่แนวป่าของ ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ และ ต.บ้านปง อ.หางดง ไฟป่าเกือบลามเข้าไปยังวัด และเขตบ้านเรือนประชาชนจนต้องระดมกำลังไปช่วยดับไฟ ขณะที่ภาพถ่ายจากกลุ่มโดรนจิตอาสา พบว่า เกิดไฟป่าลุกลามต่อเนื่องมาถึงด้านหลังวัดดอยคำ จนเกิดภาพเปลวไฟโอบล้อมด้านหลังวัดพระธาตุดอยคำ และด้านหน้าคือ ตัวเมืองเชียงใหม่ที่อยู่ด้านล่าง ไฟป่าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเกือบ 1 สัปดาห์ พบว่า ควันไฟจากไฟป่า ลอยเข้ามาสะสมในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแอ่งกระทะ จนค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานมาอยู่ในระดับวิกฤติ แม้บางช่วงของวันจะมีกระแสลมช่วยพัดผ่าน แต่พอเช้าช่วงกลางคืนอากาศเย็นที่กดทับทำให้เกิดการสะสมตัวของฝุ่นควันอีก

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้หลายภาคส่วนเกิดความตื่นตัวต่อการช่วยกันดับไฟบนดอยสุเทพ-ปุยในช่วงฤดูแล้ง อย่างไรก็ตามก็ยังมีเสียงสะท้อนจากชุมชนม้งในพื้นที่ พ่อหลวงเมธาพันธ์ ภุชกฤษดาภา ผู้ใหญ่บ้านบ้านดอยปุย และประธานเครือข่ายชุมชนบ้านม้งรอบดอยสุเทพ 12 หมู่บ้านให้ความเห็นว่า การดับไฟบนเขาสูงชันนั้นยังมีเรื่องที่อยากให้คนในเมือง หน่วยงานภาครัฐ  และภาคเอกชนที่ต้องการสนับสนุนชุมชนได้เข้าใจสภาพพื้นที่ด้วย คือพื้นที่เป็นเขาสูงชัน และบางจุดเป็นหน้าผาไม่สามารถเข้าไปดับไฟได้ และระหว่างที่เผชิญเหตุยังมีเส้นทางหลายเส้นทางที่เส้นทางเล็กมาก เวลาที่จะขนอุปกรณ์เพื่อดับไฟป่าก็จะเจอปัญหาว่าไปได้ทีละคัน ทำให้งานดับไฟป่าอาจจะล่าช้าไปบ้าง “ขนาดที่คนของเราที่ขับมอเตอร์ไซด์เร็วที่สุดในหมู่บ้าน หลายครั้งเมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุก็อาจจะช้าไป ทำให้ไฟป่าลามไปอย่างรวดเร็วแล้ว”

ส่วนเรื่องการลาดตระเวน หลังจากที่หมู่บ้านได้รับการสนับสนุนเรื่องการติดกล้องวงจรปิดจากหน่วยงานภายนอกแล้ว ก็ทำให้เป็นผู้ช่วยเรื่องการลาดตระเวนได้ดี พอเราเห็นไฟขึ้น เราสามารถเตรียมอุปกรณ์และเรียกลูกบ้านไปดับได้ทันที อย่างไรก็ตามการติดกล้องก็ยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลอุปกรณ์ เช่น ค่าอินเตอร์เน็ต และการซ่อมบำรุงรวมอยู่ด้วย

กล้องวงจรปิด บริเวณดอยผากลอง เพื่อเฝ้าระวังไฟป่า
ภาพจากสไลด์นำเสนอบ้านม้งดอยปุยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บ้านม้งดอยปุย ต.ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง จ.เชียงใหม่

การมีโดรนเพื่อลาดตระเวนก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ยังไม่แม่นยำเท่ากับโดรนจับจุด Hotspot ที่มีราคาแพงมากราคาหลักแสน โดยปีที่แล้วทางพื้นที่ก็ยืมมาจาก อบจ. ซึ่งพบว่ามีอยู่เพียงตัวเดียวแต่ใช้กันทั้งจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ในอนาคตถ้าหน่วยงานภาครัฐสามารถหาอุปกรณ์ดังกล่าวมาได้ก็จะช่วยชาวบ้านไปดับไฟป่าได้ก็จะดียิ่งขึ้น ทุกวันนี้ชาวบ้านทำหอสูง ๆ และติดกล้องวงจรปิดเพื่อเป็นการช่วยเฝ้าระวังไฟป่าได้ระดับหนึ่ง ซึ่งก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าอินเตอร์เน็ตรายเดือนอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามก็มีจุดบอดที่อยู่ใต้ไม่ใหญ่ และเรามองไม่เห็น พอเห็นไฟก็ไหม้ลามไปเยอะแล้ว “ถ้ามีโดรนจับความร้อน เราจะสามารถจับมือคนเผาได้แน่นอน” พ่อหลวงยืนยืน

นอกจากนี้ปัญหาใหญ่ที่คล้าย ๆ กับบ้านม้งขุนช่างเคี่ยนคือ เขตสุญญากาศ และเขตที่ไม่มีคนรับผิดชอบ ระหว่างหมู่บ้านซึ่งของบ้านม้งดอยปุยนั้นมีจุดที่เป็นห่วง และยังต้องเฝ้าระวังคือบริเวณป่าแม่นาไทรระหว่างบ้านม้งดอยปุย อ.เมือง กับบ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เวิ้งนั้นไกลจากหมู่บ้านมากถือเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของดอยสุเทพ-ปุย หากมีเครื่องมือที่เฝ้าระวังที่ดีกว่านี้ และมีการวางแผนหลายภาคส่วนก็จะทำให้ป้องกันไฟป่าได้ดีขึ้น พ่อหลวงให้ความเห็น 

พื้นที่ความรับผิดชอบดูแลเฝ้าระวังป้องกันไฟป่าบ้านม้งดอยปุย
ภาพจากสไลด์นำเสนอบ้านม้งดอยปุยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บ้านม้งดอยปุย ต.ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง จ.เชียงใหม่
พื้นที่แนวหน้าผาที่เกิดไฟซ้ำซาก
ภาพจากสไลด์นำเสนอบ้านม้งดอยปุยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บ้านม้งดอยปุย ต.ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง จ.เชียงใหม่
จุดที่พื้นที่ความรับผิดชอบไม่ชัดเจน ภาพจากสไลด์นำเสนอบ้านม้งดอยปุยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บ้านม้งดอยปุย ต.ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง จ.เชียงใหม่

มากกว่าการทำแนวกันไฟคือการสู้ไฟและอคติ

“คนภายนอกเวลาหาเห็นไฟป่าบนดอยสุเทพ-ปุย ก็มักจะพูดประโยคเดิม ๆ ว่าชาวเขาเผาป่า” พ่อหลวงกิตติศักดิ์ ยั่งยืนกุลฉัตร ผู้ใหญ่บ้านบ้านม้งขุนช่างเคี่ยนไปร่วมทำแนวกันไฟที่ดอยหัวหมูให้ความเห็น ทำไมคนทั้งหมู่บ้านไม่เว้นแม้แต่เด็ก เยาวชน ผู้หญิง และผู้สูงอายุบางคนถึงมาร่วมกันทำแนวกันไฟ พ่อหลวงกิตติศักดิ์บอกว่าเป็นหน้าที่ที่คนในชุมชนจะต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ของบ้านขุนช่างเคี่ยนจะมีอาชีพอื่น ๆ ที่แตกต่างไปจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ เช่นบางคนก็ปลูกกาแฟขายในเมือง เป็นบาริสต้า ก็ต้องมาทำแนวกันไฟ แม้จะไม่ใช่ความถนัดก็ตาม

โดยความเป็นจริงแนวกันไฟยังไม่สามารถป้องกันไฟป่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้ชาวบ้านรู้ดี เพราะเป็นแค่การทำแนวเขต เพื่อป้องกันไฟที่จะไหม้ลามมายังพื้นที่ของชุมชน ทั้งนี้แนวกันไฟของชาวม้ง 12 หมู่บ้านจะมีแนวสั้นยาวไม่เท่ากัน แล้วแต่ขอบเขต เช่นบ้านม้งขุนช่างเคี่ยนมีการทำแนวกันไฟ ระยะทางยาวประมาณ 6 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 5 เมตร แบ่งออกเป็น 2 เส้น คือ เส้นที่ 1 ด้านทิศตะวันตก จากยอดดอยปุย – ดอยหัวหมู – ตัดลงข้ามถนนทางไปสถานีวิจัยฯ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไซด์บี – ขนานแนวถนนไปยังจุดชมวิวก่อนที่จะตัดลงไปเจอถนนทางลงห้วยตึงเฒ่า เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เส้นที่ 2 ด้านทิศใต้ จากสันดอยเหนือลานกางเต้นท์ดอยปุย – ไล่ลงตามแนวสันดอยเหนือขุนน้ำช่างเคี่ยน – ถนนทางลงน้ำตกมณฑาธาร เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ปัจจุบันแนวกันไฟเส้นนี้ ไม่ได้ทำแล้วเนื่องจากพิจารณาแล้วว่าโอกาสที่จะเกิดไฟป่าลามมาทางทิศใต้มีน้อยมากแต่มีการทำแนวกันไฟเส้นใหม่เพิ่มมาบริเวณทางไปห้วยตึงเฒ่า

ส่วนบ้านม้งดอยปุยมีอยู่ 5 เส้นดังต่อไปนี้คือ เส้นที่ 1 บริเวณยอดดอยปุย – หน่วยพิทักษ์ผาดำที่ 1 (เส้นถนน) เป็นป่าดงดิบ ช่วงเวลาจัดทำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี แนวกันไฟมีความกว้าง 7-10 เมตร ระยะทางประมาณ 5 กม. จำนวนผู้ร่วมจัดทำ ประมาณ 200 คน เส้นที่ 2 บริเวณ หน่วยพิทักษ์ผาดำที่ 1- น้ำตกศรีสังวาลย์ เป็นป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ช่วงเวลาจัดทำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี แนวกันไฟมีความกว้าง 7-10 เมตร ระยะทางประมาณ 3 กม.จำนวนผู้ร่วมจัดทำ ประมาณ200 คน  เส้นที่ 3 บริเวณผากลอง – น้ำตกศรีสังวาลย์ เป็นป่าดงดิบและป่าเบญจพรรณ ช่วงเวลาจัดทำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์  ของทุกปี แนวกันไฟมีความกว้าง 7-10 เมตร ระยะทางประมาณ 6 กม. จำนวนผู้ร่วมจัดทำ ประมาณ200 คน เส้นที่ 4 บริเวณยอดดอยปุย – ผากลอง เป็นป่าดงดิบ ช่วงเวลาจัดทำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์  ของทุกปี แนวกันไฟมีความกว้าง 7-10 เมตร ระยะทางประมาณ 3 กม. จำนวนผู้ร่วมจัดทำ ประมาณ 200 คน เส้นที่ 5 บริเวณกิ่วแม่ใน – ป้อมเฝ้าระวังไฟกลางหมู่บ้าน (ป้อมทำพิธี) เป็นป่าดงดิบ ช่วงเวลาจัดทำช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี แนวกันไฟมีความกว้าง 7-10 เมตร ระยะทางประมาณ 4 กม.

เมื่อทำแนวกันไฟเสร็จแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดหน้าที่หรือไม่ต้องทำอะไรเลย สิ่งที่ชุมชนจะต้องมีการทำงานเพิ่มขึ้น และดูเหมือนจะยากมากกว่าการทำแนวกันไฟคือฤดูที่ไฟกำลังจะมาถึง  ซึ่งหมายถึงตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม เป็นฤดูที่ชุมชนจะต้องจัดเวรยามและเฝ้าระวังไฟอย่างหนัก แต่ละบ้านจะมีกฎระเบียบการจัดการไฟที่แตกต่างกันไป เช่น บ้านม้งดอยปุย จะมีคณะกรรมการจัดการระดับหมู่บ้าน 9 คุ้มหรือเขต และคณะกรรมการจัดการทรัพยากรระดับหมู่บ้านทั้งหมด 13 ชุด 13 คนนี้คือหัวหน้า มีหน้าที่วางแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการทำแนวกันไฟกำหนดวันเวลาและวิธีการต่างๆรวมไปถึงการลงพื้นที่ ซึ่งใน 1 ชุดจะมีจำนวนชาวบ้าน 15-20 คน และมีการแบ่งช่วงในการดูแลแนวกันไฟโดยมีการแบ่งเป็น 8 ช่วงต่อคณะกรรมการ 1ชุด ช่วงล่ะ 150 เมตร ซึ่ง 1 ชุด ก็จะต้องดูแลแนวกันไฟ ระยะทางประมาณ 1200 เมตร นอกจากนี้ก็จะมีกฎระเบียบ/ข้อตกลงเรื่องการจัดการไฟ เช่น มีการบังคับให้มีตัวแทน 1 คนต่อครอบครัวมาช่วยดูแลเรื่องการจัดการไฟในหมู่บ้านดอยปุย   มีการปรับเงินกรณีที่มีคนไม่ไปทำแนวกันไฟโดยจะถูกปรับเงินจำนวน 250 ต่อ 1 ครอบครัว และห้ามเผาในพื้นที่โดยเด็ดขาดซึ่งจะยึดตามประกาศที่ราชการกำหนดมาให้ในแต่ละครั้ง

บ้านม้งขุนช่างเคียนจะมีกฎระเบียบ เช่นใช้คณะกรรมการจัดการระดับหมู่บ้านเป็นคนดูแลเรื่องไฟป่าด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดยมอบหมายงานให้ชุดทำงานมีทั้งหมด 11 ชุด งานหลักคือพัฒนาหมู่บ้านและบริหารจัดการไฟป่า กฎระเบียบ/ข้อตกลงเรื่องการจัดการไฟ เช่น ห้ามเผา ถ้าจำเป็นให้บอกคณะกรรมการหมู่บ้าน ถ้าฝ่าฝืนมีบทลงโทษ คือ ครั้งแรกตักเตือนครั้งต่อไปถ้าโดนกฎหมายซึ่งทางคณะกรรมการหมู่บ้านจะไม่รับผิดชอบไม่ไปร่วมกิจกรรมทำแนวกันไฟ ปรับ 250 บาท/วัน เป็นต้น

“สิ่งที่เราทำและพัฒนากฎระเบียบกันมาหลายสิบปีเพื่อป้องกันไฟป่าดอยสุเทพ-ปุย เป็นสิ่งที่คนภายนอกอาจจะไม่เคยรู้ เพราะเราอยู่ในพื้นที่ ที่นี่คือบ้านของเรา เราต้องดูแล” ชาวม้งบ้านขุนช่างเคี่ยนให้ความเห็น

ชุมชนร่วมกันทำแนวกันไฟ ตามกฎระเบียบหรือข้อตกลงเรื่องการจัดการไฟ
ชุมชนร่วมกันทำแนวกันไฟ ตามกฎระเบียบหรือข้อตกลงเรื่องการจัดการไฟ

ลดความขัดแย้ง เพิ่มประสิทธิภาพสู้ไฟ

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การสู้ไฟป่ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นคืองบประมาณ และการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการสู้ไฟ พ่อหลวงเมธาพันธ์ บอกว่าสำหรับเครือข่ายชุมชนบ้านม้งรอบดอยสุเทพ 12 หมู่บ้านเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของชุมชนต่าง ๆ เพื่อช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมจนเป็นที่ประจักษ์ก่อนที่ส่วนราชการจะเห็นความสำคัญ และ เข้ามาร่วมบูรณาการทำงาน ปีนี้สิ่งที่อยากจะพัฒนา คือ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่มีความทันสมัย เช่น โดรนจับความร้อน กล้องถ่ายภาพ มาช่วยในการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ และ ให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างรวดเร็ว และทำได้ครอบคลุมมากขึ้น

พ่อหลวงเมธาพันธ์ ภุชกฤษดาภา ประธานเครือข่ายม้งรอบดอยสุเทพ 12 หมู่บ้าน

ทุกวันนี้เรามีโดรนเก่า ๆ ที่ทำได้แค่ลาดตระเวนแต่ยังจับความร้อนไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ช้าไป เส้นทางที่จะไปดับไฟเป็นเขาสูงชัน  เมื่อถึงจุดที่เข้าไม่ถึงเราเข้าไม่ถึงจะมีเครื่องมืออะไรไปดับไฟได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ต้องคิด ทุกวันนี้ชุมชนจะมีเครื่องเป่าลม ไม้กวาดทางมะพร้าว มีดพร้า เลื่อยยนต์และกำลังคน ตอนที่ไฟลุกแล้ว สิ่งที่สำคัญคือไฟที่ไหม้ตอไม้ เราต้องใช้น้ำในการดับให้สนิทด้วยไม่เช่นนั้นก็จะลุกขึ้นมาอีก ก็ต้องมีจุดตั้งของน้ำที่ใกล้ที่สุดด้วยเพื่อลำเลียงไปดับไฟให้สนิท

“เครื่องเป่าลมก็ต้องมีเงินเติมน้ำมัน ค่าอินเตอร์เน็ตเมื่อเราติดกล้อง เราต้องจ่ายเดือนละ 300 บาท หรือตกปีละ 7,200 บาท เวลาที่ลูกบ้านจะไปดับไฟ เราต้องมีเงินเติมน้ำมันให้เขา นี่เป็นสิ่งที่ชุมชนต้องจ่ายเอง เพราะงบประมาณ 50,000 บาทที่ได้มาจากภาครัฐไม่พอ” อันนี้คือเบื้องต้นที่เราต้องทำกันพ่อหลวงเมธาพันธ์ระบายความในใจ

ในส่วนของชาวบ้านในผืนป่า ทุกชุมชนต้องมีความรับผิดชอบ ปฏิบัติตามกติกากฎระเบียบของแต่ละหมู่บ้านซึ่งใน 12 เครือข่าย ทุกบ้าน ทุกหลังคาเรือน จะต้องมีส่วนร่วมในการจัดการไฟป่า แต่มีสิ่งที่ประธานเครือข่ายชุมชนบ้านม้ง รอบดอยสุเทพ 12 หมู่บ้าน กำลังกังวล คือ ความเห็นต่างในเรื่อง ร่าง พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ที่ออกมาล่าสุด ซึ่งภาคประชาชนมองว่าจะส่งผลกระทบต่อที่ดินทำกินของประชาชนในเขตอุทยานแห่งชาติ และจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติให้ระอุขึ้นอีก เพราะในอดีตความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เคยเป็นชนวนทำให้เกิดการกลั่นแกล้งกันและส่งผลกระทบต่อการดูแลพื้นที่ ดังนั้น จะดีกว่าหรือไม่หากภาครัฐจะลดปัจจัยและความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาป่า โดยหันมาสร้างความร่วมมือกับชุมชนในการปกป้องผืนป่า เพราะจริง ๆ แล้วเวลาที่ไฟป่าเกิดขึ้น คนที่เห็นไฟก่อนคือคนในชุมชน และไปถึงจุดที่เกิดเหตุได้เร็วที่สุด.


ข้อมูล

– แผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงแก้ไขปัญหาไฟป่า-ฝุ่นควัน ชุมชนเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งดอยสุเทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหม่ โดย แผนงานเสริมความเข้มแข็งชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาสังคม สภาลมหายใจเชียงใหม่

เบญจา ศิลารักษ์

กองบรรณาธิการสื่อประชาธรรม

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง