ในช่วงปลายฤดูร้อนของบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขณะที่หลายหมู่บ้านเฝ้ารอฝนแรกเพื่อเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก ชาวบ้านของที่นี่กลับต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด น้ำที่ไม่มาจากฟ้า แต่ผุดขึ้นจากใต้ดิน

ภาพที่ 1 พื้นที่น้ำผุดท่วมบริเวณหมู่บ้านรินหลวงที่กลายเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจ
สำหรับทั้งคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง

“ปีนี้มันมาเร็วกว่าทุกครั้ง น้ำขึ้นไม่หยุด และอยู่ยาวเป็นเดือน ๆ จนพืชผลเสียหายหมด” อาเหลียง หรือ คณาธิป หย่างจาง ชาวบ้านรินหลวงที่อยู่ในพื้นที่เล่า พร้อมชี้มือไปยังทุ่งข้าวโพดที่กลายเป็นทะเลน้ำสีฟ้าใส ขณะเดียวกันแป้ง หรือ อะเลมิ แซ่เฉิน ที่เพิ่งจะกลับเข้าไปอยู่ในบ้านเดิมได้เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์หลังจากน้ำจากใต้ดินท่วมบ้านของเธอเป็นเวลากว่า 3 เดือนเต็ม บ้านของแป้งเป็นหนึ่งใน 93 ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก “น้ำผุดท่วม” หรือ ground water flooding ซึ่งเป็นลักษณะของน้ำท่วมที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยกันนักในประเทศไทย

อ่านตอนแรก น้ำผุดเมืองนะ เชียงดาว ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติหรือภัยพิบัติที่เราต้องรับมือ?

ภาพรวมพื้นที่ผลกระทบจากการวิเคราะห์พื้นที่น้ำผุดท่วมทั้งหมด

Left ImageRight Image

ภาพที่ 2  : ภาพถ่ายจากดาวเทียม sentinel-2 สำหรับก่อนและหลังเหตุการณ์น้ำผุดท่วม
(ซ้าย: 9 มกราคม 2567 ขวา: 13 มกราคม 2567)

จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของทีมประชาธรรมโดยเป็นการทำภาพจากดาวเทียม sentinel-2 เข้ามาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการเกิดขึ้นของน้ำผุด โดยภาพแรกเป็นภาพถ่ายดาวเทียมที่ตัดเฉพาะส่วนของตำบลเมืองนะ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 จะเห็นได้ว่ายังไม่ได้เกิดน้ำผุดขึ้นในบริเวณขอบเขตของตำบลเมืองนะ มีเพียงพื้นที่ ๆ เป็นแหล่งน้ำอยู่เดิมแล้วเท่านั้น แต่เมื่อนำเอาภาพถ่ายดาวเทียมจากในบริเวณเดียวกันเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 จะพบว่ามีบริเวณแหล่งนี้ที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์น้ำผุดกว่า 27 จุด โดยมีขนาดตั้งแต่ 6 ไร่ไปจนถึง 225 ไร่ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 พื้นที่ใหญ่ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการรายงานของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลที่ได้รายงานการสำรวจเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 โดยพบว่ามีจุดน้ำผุดท่วมขังเป็นจำนวน 4 แห่งเช่นกัน

ภาพที่ 3 :  จำนวนจุดน้ำผุดท่วมที่ทางประชาธรรมได้ระบุไว้ โดยมีทั้งหมดโดยประมาณ 27 จุด

และภายในพื้นบริเวณพื้นที่น้ำท่วม 27 จุด สามารถแบ่งออกได้คร่าว ๆ เป็นพื้นที่อาศัยหรือท่วมบ้านหรือสิ่งก่อสร้างบางหลังทั้งหมด 5 จุดและที่เหลืออีกกว่า 22 จุดเป็นพื้นที่สวนและไร่เป็นหลัก โดยพื้นที่ทั้งหมดมีขนาดรวมกันกว่า 762 ไร่และอีก 2 งาน หรือเทียบได้กับ 171 สนามฟุตบอลซึ่งมีงานรายงานกันว่าน้ำที่ขึ้นมาจากใต้ดินบริเวณบ้านรินหลวง คาดว่าจะมีปริมาณกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่ของประชาชนกว่า 450 คน และมีพื้นที่เสียหายหรือน้ำท่วมอีกกว่า 188 ไร่ โดยแบ่งออกเป็นพื้นที่ไร่ 87 ไร่ ไร่นา 45 ไร่ และพื้นที่สวนอีกกว่า 56 ไร่

“ไร่ บ้าน สวน” เสียงจากพื้นที่จมน้ำผุด

ภาพที่ 4  :  อาเหลียงกำลังขับเรือแพที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบริเวณน้ำพุดในบ้านรินหลวง

“ชาวบ้านที่นี้ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดในช่วง 6 หรือ 8 ปี ต่อครั้ง แต่รอบนี้มา 3 ปีติดกันและรอบนี้เสียหายเยอะสุด” อาเหลียงบอกเล่าถึงประสบการณ์ของเขาและชาวบ้านรินหลวง หรือบริเวณที่เรียกกันในพื้นที่ว่า “หนองหมู่ฮ่อ” ชาวบ้านสังเกตเห็นถึงความไม่ปกติที่เกิดน้ำผุดท่วมมาเป็นเวลา 3 ปีซ้อนแล้ว แต่ในช่วง 2 ปีก่อนหน้าก็ยังเหือดหายไปหลังจากเกิดขึ้นเพียง 1-2 เดือน แตกต่างจากปัจจุบันล่วงเวลามาแล้วกว่า 5 เดือนน้ำผุดท่วม​ ณ บ้านรินหลวงยังคงอยู่ และปริมาณน้ำมีเยอะมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน 

โดยในพื้นที่บริเวณที่เป็นบ่อน้ำในปัจจุบันก่อนหน้านี้เป็นพื้นที่ ๆ ใช้ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง ถั่วแดง โดยเป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ของทั้งหมด 14 ครัวเรือน 

“ถ้าคำนวณจากเฉพาะที่เรามองเห็นอยู่ตรงนี้ก็ร้อยกว่าไร่ แล้วข้าวโพด ต่ำ ๆ ก็มีล้านห้า” อาเหลียง เล่าให้ฟังพร้อมชี้นิ้วไปยังบริเวณน้ำผุดท่วมของบ้านรินหลวง  ตามภาพประกอบด้านบนหมายเลขที่ 1 อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันจะได้เก็บเกี่ยวก็ต้องจมน้ำไปเสียก่อน​ 

เมื่อถามถึงเงินชดเชยของคนทั้ง 14 ครัวเรือนหรือกว่า 100 ไร่ อาเหลียงเล่าเพียงแต่ว่า “เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ น้ำผุดเป็นเรื่องธรรมชาติ” ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นภัยพิบัติและทั้ง 14 ครัวเรือนก็ไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ 

ขณะที่แป้งหรืออะเลมิ แซ่เฉิน เจ้าของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านรินหลวง เล่าเหตุการณ์วันที่น้ำเริ่มทะลักเข้ามาในบ้าน “น้ำขึ้นไวมาก ตอนแรกนึกว่าน้ำฝน เดี๋ยวมันก็ลง แต่พอเห็นน้ำซึมขึ้นมาจากพื้นทั้งสวน ทั้งบ้าน และน้ำก็ขึ้นไวมาก เราเก็บของไม่ทันเลย” โดยจากน้ำที่เริ่มผุดขึ้นมาใช้เวลาเป็นเวลากว่า 1 อาทิตย์จึงเริ่มท่วมเข้าในบริเวณบ้าน จากการผุดของน้ำในหลาย ๆ จุดพร้อมกัน เธอต้องใช้บันไดลิงในการเข้าออกบ้าน เนื่องจากบริเวณพื้นของบ้านทั้งหมดถูกน้ำท่วมไปจนหมด จนถึงระดับช่วงเอว ซึ่งท่วมยาวเป็นเวลากว่า 4 เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 

“ตอนแรกก็คือมันน่ากลัวมาก เทศบาล ไม่สามารถช่วยได้เพราะต้องไปช่วยที่อื่น ๆ ก่อน ทำให้ครอบครัวต้องย้ายของไปอยู่ที่บ้านญาติก่อน” ขณะที่ตัวเธอก็ยังนอนที่บ้านอยู่ แต่สำหรับกรณีอะเลมิได้รับเงินชดเชยภยพิบัติน้ำท่วมเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 9,000 บาท และถุงยังชีพอีก 2 ถุง โดยข้าวของที่เสียหายส่วนใหญ่ของอะเลมิ คืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเช่น ตู้เย็น เตาแก๊ส และไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้เลย 

เธอย้ำว่าจำนวนเงิน 9,000 บาท นั้นไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมบ้านหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า และขณะนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปรับตัวยังไงเพราะอยู่ในหมู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิดก็ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย “ตรงนี้ออกก็จริง แต่ไม่เยอะขนาดนี้” เธอกล่าวอย่างกังวล ซึ่งเธอต้องการให้ทางรัฐบาลหรือท้องถิ่นช่วยเหลือโดยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการถมที่ดินเพื่อเป็นพื้นที่กันน้ำผุดที่อาจจะมาท่วมอีกในอนาคต

เสา จองนู ชาวบ้านจากบ้านหนองวัวแดง หรือหย่อมบ้านบ้านหนองเขียวหรือหมู่บ้านในบริเวณหมายเลข 6 ของภาพประกอบที่ 3 ซึ่งบ้านของเขาเป็นบ้านไม่กี่หลังที่ถูกน้ำผุดท่วม โดยเขาเล่าต่อว่าปกติบ้านเขาจะท่วมประมาณ 8 ปีต่อครั้ง และนอกเหนือจากตัวบ้านที่ท่วมแล้วบริเวณหลังบ้านของเขาที่เป็นบริเวณสวนยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วยในบริเวณที่ปลูกมันสำปะหลังประมาณ 1 ไร่ที่ลงทุนไปเกือบ 5,000 บาท และยังมีสวนต้นน้อยหน่า อะโวคาโด มะม่วงที่จมน้ำและตายไปอีก 

ภาพที่ 5 :  หลังบ้านของเสา จองนู ที่เห็นบริเวณน้ำท่วมที่พึ่งจะลดลงไปและกระสอบทรายที่ได้รับความช่วยเหลือมา

ระหว่างที่บ้านน้ำท่วมสาต้องย้ายไปอยู่กับลูกที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลากว่า 5 เดือน และพึ่งจะได้กลับมาบ้านประมาณช่วงเดือนเมษายน เนื่องจากน้ำได้ลดลงไปบางส่วนพอที่จะอยู่อาศัยได้บ้างแล้ว เมื่อถามถึงความเสียหายของบ้าน เขาประเมินว่าความเสียหายน่าจะอยู่ประมาณ 40,000 – 50,000 บาท แต่เขาได้รับเงินชดเชยเพียง 5,000 บาท จากรัฐบาลกลาง และการอุดหนุนเป็นกระสอบทรายจากทางเทศบาลตำบลเมืองนะ

เมื่อถามถึงทางออกสำหรับเรื่องนี้เสา เพียงแค่ได้ตอบว่าเขาจะทำอะไรได้ “ก็อยู่ไป 8 ปีผมก็ไม่น่าจะอยู่แล้ว” เสาเล่าด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เพราะเขาก็ไม่ได้มีที่อยู่หรือที่ดินที่อื่นอีกแล้ว

เมื่อความช่วยเหลือไม่มา ชาวบ้านก็ต้องช่วยตัวเอง

ภาพที่ 6  :  แพสำหรับนักท่องเที่ยวในบริเวณบ้านรินหลวง

“คือในทุก ๆ ครั้งที่น้ำผุดออก เทศบาลเขาทำเป็นแลนด์มาร์คให้” อาเหลียงเราให้ฟังถึงกิจกรรมที่รัฐท้องถิ่นช่วยสนับสนุนเมื่อมีน้ำผุดออกในบริเวณหมู่บ้านรินหลวง โดยอาเหลียงยังเล่าต่อถึงเหตุผลในการสนับสนุนโครงการนี้ว่า เขาต้องการให้เจ้าของที่ไร่ ที่สวนที่เสียเงิน เสียโอกาสจากบริเวณที่น้ำท่วมไป ได้มีรายได้จากการเปลี่ยนพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วมแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนี่องจากเส้นทางบริเวณหน้าบ้านรินหลวงนี้เป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวใช้สัญจรเพื่อไปยังดอยอ่างขางด้วยเช่นกัน 

อาเหลียงและชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่มหันไปสร้างรายได้จากสิ่งที่เคยเป็นภัยพิบัติ เราช่วยกันสร้างแพไม้ไผ่ เอาไว้พานักท่องเที่ยวล่องดูน้ำผุด กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ คนมาเที่ยวถ่ายรูปกัน วันดี ๆ ก็มีรายได้วันละพันบาท” อาเหลียงกล่าวด้วยความหวัง แต่นอกเหนือจากนั้นอาเหลียงยังสามารถแบ่งรายได้จากการทำแพ ให้นักท่องเที่ยวออกไปดูบริเวณกลางสระน้ำผุด ซึ่งเขาแบ่งให้ชาวบ้านที่มาช่วยเป็นเที่ยว เที่ยวละ 100 บาท

อาเหลียงยังหวังว่าถ้าหากทางรัฐบาลหรือรัฐท้องถิ่นไม่สามารถช่วยเหลือหรือชดเชยได้ ก็ควรจะช่วยจัดการสถานที่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างจริงจังไปเลย และชักชวนพ่อค้าแม่ค้าจากต่างพื้นที่ให้มาขายในพื้นที่นี้ให้เยอะขึ้นเขาเสนอว่าอาจจะมีการจัดแบ่งโควต้าเป็นหมู่บ้านโดยกระจายไปยังหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำผุด

แต่ธุรกิจใหม่ที่อาเหลียงจัดทำขึ้นนี้ก็ต้องคอยปรับเปลี่ยนไปตามปริมาณน้ำที่ลดลงเรื่อง ๆ ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาทำให้โครงสร้างแพที่เคยทำไว้ โโผล่พ้นน้ำบ้าง และไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เขาออกแบบเอาไว้

เบื้องหลังความพยายามในการปรับตัวของชุมชน ความกลัวยังไม่หายไป “ข้างใต้หมู่บ้านมีโพรงน้ำใต้ดิน ถ้าดินยุบตัวเมื่อไร บ้านทั้งหลังอาจหายไปในพริบตา”แป้ง คือใคร เติมด้วยค่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มันเหมือนนาฬิกานับถอยหลัง เราไม่รู้ว่าปีหน้าจะเจออะไรอีก” ขณะที่บางคนเริ่มคิดย้ายบ้านหนี “ที่บ้านผมเองเริ่มถมดินเพิ่ม ยกพื้นบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน ปีหน้ามันจะผุดอีกหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้” อาเหลียงกล่าวปิดท้าย

ชาวบ้านรินหลวงจึงอยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ และเฝ้ารอด้วยใจระทึกว่า ฤดูฝนครั้งต่อไป น้ำจากใต้ดินจะกลับมาเยือนอีกหรือไม่.



ข้อมูลประกอบ

ข้อมูล Geojson ของน้ำผุดท่วมเมืองนะ

แผนที่ interactive สำหรับพื้นที่น้ำผุดท่วมเมืองนะ


This story was published with the support of the Internews Indo-Pacific Media Resilience Program or IPMR.

วิศรุต แสนคำ

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง