26 กุมภาพันธ์ 2568

จุดเปลี่ยนของเราเกิดขึ้นเมื่อปี 2563 ที่เกิดไฟไหม้ใหญ่ในพื้นที่ป่าที่เราดูแลดีมาตลอด โดยเราได้ฟื้นฟูป่าที่เคยเสื่อมโทรมจากการสัมปทานทำไม้ ป้องกันไม่ให้เกิดไฟ พอไฟเกิดขึ้นเราก็ไปดับไฟ ไฟป่าที่เกิดขึ้นในคราวนั้น ยาวนานถึง 4 วันไม่สามารถดับได้เพราะปริมาณเชื้อเพลิงสะสมเป็นจำนวนมาก และพื้นที่เป็นเขาสูงชันยากต่อการดับไฟ ” วิสันต์ ปัญญากาศ จากองค์การบริหารส่วนตำบลทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ชุมชนปรับแนวความคิดมาสู่การบริหารจัดการเชื้อเพลิงเพื่อการเป็นการลดความรุนแรงเมื่อไฟป่าเกิดขึ้นจนกลายเป็นไฟใหญ่

หลังจากนั้นตำบลทาเหนือ 2 หมู่บ้านได้แก่บ้านใหม่ และบ้านแม่ตะไคร้จึงเริ่มหันมาใช้แนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามหลักวิชาการอย่างจริงจัง และเป็น1 ใน 12 ตำบลนำร่องที่สามารถอนุมัติอนุญาตได้ในระดับพื้นที่ตำบล ซึ่งมีประกาศจังหวัดรับรองโดยการแต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการบริหารจัดการเชื้อเพลิงระบบ Fire D ระดับตำบลเมื่อปี 2567

คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ทาเหนือ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการบริหารจัดการเชื้อเพลิงระบบ Fire D ระดับตำบล

อย่างไรก็ตาม ในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็จะจุดไฟเผาไปเรื่อย  ดร.กอบศักดิ์  วันธงไชย คณบดีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้หลักการเกี่ยวกับการจัดการเชื้อเพลิงอย่างมีคุณภาพที่น่าสนใจ ซึ่งชาวทาเหนือได้ยึดหลักการตามแนวทางนี้ โดยหลักการในการควบคุมไฟมีปัจจัยที่สำคัญ 3 เรื่องคือ 1.ภูมิประเทศ 2.สภาพอากาศ และ 3.เชื้อเพลิง ข้อมูลจากกรมป่าไม้ปี 2561 ระบุว่าปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าประเทศไทยเชื้อเพลิงที่มีจำนวนมากจะเป็นเชื้อเพลิงในป่าเต็งรัง 12 ล้านไร่ และป่าเบญจพรรณ 47 ล้านไร่ ป่าสนเขาจำนวน 5 แสนไร่  แต่พื้นที่ป่าดิบชื้นนั้นจะไม่ค่อยมีเชื้อเพลิงสะสมมากนัก ดังนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือถ้าหากสภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพื่อลดเชื้อเพลิงสะสม โดยมีเกณฑ์ว่าหากเชื้อเพลิงสะสมมีน้ำหนักเกินกว่า 5 ขีดต่อตารางเมตร จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการ หากไม่จัดการจะมีความเสี่ยงต่อการลุกลามของไฟป่ายากต่อการดับไฟ

ขั้นตอนที่จะทำแผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิง จะต้องมีการประชุมหารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การจัดทำแผนการใช้ไฟจะต้องมีรายละเอียดขอบเขตพื้นที่ วันเวลาเผา การเตรียมความพร้อมของพื้นที่ในด้านกายภาพ เช่น แนวกันไฟ เส้นทางหนีไฟในกรณีฉุกเฉิน การแบ่งแปลงย่อยสาหรับการเผา ความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ยานพาหนะในการควบคุมไฟ ความพร้อมของระบบการสื่อสารทั้งภายในและการสื่อสารภายนอก ความพร้อมของกำลังคนทั้งทักษะการควบคุมไฟสมรรถภาพร่างกาย จุดที่ตั้งของแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด วิธีการเผาที่เสนอสำหรับ พร้อมเหตุผลในการเลือกวิธีนั้น ๆ แผนการจุดไฟและการควบคุมไฟและหน้าที่ของแต่ละคน แผนฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุการณ์ไฟลุกลามนอกพื้นที่ แผนการติดตามผลหลังการเผา

ส่วนของการวางแผนจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายของการเผาว่าจะเผาเพื่ออะไร ทำไมต้องเผา กำหนดขอบเขตพื้นที่การเผาบริเวณไหน ต้องดูพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ต้องมีแผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดิน สภาพภูมิประเทศ แหล่งน้ำ เส้นทางคมนาคมโดยรอบ ที่ตั้งบ้านเรือนชุมชน ข้อมูลพื้นที่สังคมพืชในป่า อัตราการสะสมของเชื้อเพลิงมากพอรึยัง และข้อมูลการเผาล่าสุด หลังจากนั้นจะต้องมีการประชุมจัดทำแผนการเผา วันเวลาที่จะเผาหมายถึงสภาพอากาศเป็นอย่างไร ทิศทางลม ความแห้งแล้งของพื้นที่ วางแผนและมีการจัดการหลังการเผาด้วยการจัดประชุมหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

เมื่อถึงวันที่จะดำเนินการบริหารจัดการเชื้อเพลิง จะต้องการจัดรูปแบบการจุด การควบคุมไฟที่ชัดเจน และเฝ้าระวังเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบการบังคับบัญชา การประสานงานและการสื่อสาร จนถึงการคำนึงความปลอดภัยในการดำเนินการ ภายหลังการเผาต้องดูว่าไฟดับสนิท ตรวจสอบพื้นที่การเผา จัดการแนวดำและเศษเชื้อเพลิงที่เหลือ มีการติดตามผลกระทบการเผากับระบบนิเวศ

วิสันต์เล่าว่าตอนนี้ตำบลทาเหนือมี 2 หมู่บ้านบ้านแม่ตะไคร้กับบ้านใหม่ ต.ทาเหนือที่จำเป็นต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิง เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดเขตจ.ลำปางที่มีไฟข้ามจังหวัดในพื้นที่หน้าผาสูงชัน โดยพื้นที่บ้านแม่ตะไคร้มีพื้นที่ป่าจำนวน 22,000 ไร่ และบ้านใหม่ จำนวน 11,000 ไร่ แต่เราใช้พื้นที่สำหรับบริหารจัดการเชื้อเพลิงบ้านแม่ตะไคร้ 600 ไร่ และบ้านใหม่ 800 ไร่

 “สิ่งที่เป็นปัญหาตอนนี้คือเรากังวลการสะสมของเชื้อเพลิงจะเลยจุดที่จะบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามหลักวิชาการ จุดที่ควรจะบริหารจัดการเชื้อเพลิงคือน้ำหนักของใบไม้ไม่ควรเกิน 0.6 – 0.8 กิโลกรัมต่อตารางเมตร เราจึงต้องไปตรวจเช็ค ถ้าช้าไปเรื่อย ๆ แล้งไปเรื่อย ๆ หากเกิดไฟขึ้นในตอนนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก การอนุมัติที่ล่าช้าของ Fire D ก็มีผลทำให้เกิดปัญหา Late burn ซึ่งหมายถึงการเผาที่ล่าช้า โดยเฉพาะถ้าเผาในช่วงฤดูแล้งเดือนมีนาคม-ต้นเมษายนจะอันตรายมาก”

อ่านคอลัมน์ฝุ่นไฟ Dialogue ย้อนหลังได้ที่

Similar Posts