เรื่อง ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ

Zero Burning หรือการห้ามเผาเด็ดขาดที่รัฐบาลกำลังดำเนินนโยบายในปัจจุบัน ทางวิชาการไม่สอดคล้องกับความจริง และยิ่งทำให้การเผาไปอยู่ในที่มืด ไม่สามารถควบคุมได้ ความจริงแล้ว PM2.5 เกิดจากการเผาทุกชนิด รถยนต์วิ่งก็คือเผาไฟกองเล็ก โรงไฟฟ้าถ่านหินก็ไฟกองใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมก็ไฟกองใหญ่ เผาตลอดเวลาทั้งปีด้วยซ้ำ ฤดูที่ PM 2.5 มีค่าสูงมาก็ไม่หยุด ไม่มีใครโวยวายกระไร นายทุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ส่งเสริมปลูกข้าวโพดกว้างขวางแล้วมีการเผาเกิดผลกระทบมากมาย ก็ไม่เห็นมีการกดดันแต่อย่างใด ขณะที่การเผาเพื่อการดำรงชีพกลับถูกไล่ล่าถูกจับกุมเหมือนดังฆาตกร “นี่คือความไม่เป็นธรรม”

การจุดไฟโดยพลการ ไฟที่ไม่ความจำเป็น เห็นด้วยว่าต้อง Zero Burning ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่ไฟที่จำเป็นตามหลักวิชาการวนศาสตร์ต้องมีการบริหารจัดการควบคุมไม่ให้เกิดการลุกลาม เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด ซึ่งทางเชียงใหม่ที่มีภาคีหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ประชาสังคม ท้องถิ่น และชุมชนได้ร่วมกันดำเนินงานมาแล้ว ถือว่ามีพัฒนาการที่ดี แต่อาจยังไม่สมบูรณ์ เห็นด้วยว่าต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีงานวิจัย องค์ความรู้มากมายและมีการร่วมขับเคลื่อนกับภาคีต่างๆ ในเชียงใหม่ควรเสนอข้อมูลทางวิชาการเพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เพื่อเป็นทางออกบนฐานความรู้ให้กับสังคมและผู้บริหารประเทศ จาก Zero Burning สู่ Fire Management

จากการสรุปบทเรียนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศการใช้มาตรการ Zero Burning มีปัญหาต่อพื้นที่ป่าในระยะยาว และอาจจะเหมาะสมบางพื้นที่ เช่น พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม หรือป่าดิบชื้นที่ต้องป้องกันไฟเข้า ในต่างประเทศมีการจัดการไฟแบบ Fire management เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ออสเตรเลีย สเปน และนิวซีแลนด์  เพราะประสบปัญหาไฟป่าที่ลุกลามอย่างหนักมาแล้วทั้งนั้น โดยจะมีการควบคุมไฟแตกต่างกันไป เช่น ออสเตรเลีย มีการใช้การเผาตามกำหนด (prescribed burning) และการจัดการเชื้อเพลิงอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีปัญหาไฟป่ารุนแรงเป็นประจำ

สหรัฐอเมริกามีหน่วยงานอย่าง U.S. Forest Service และ National Park Service ที่ดำเนินการจัดการไฟป่าอย่างเป็นระบบ รวมถึงการเผาตามกำหนดและการจัดการเชื้อเพลิง แคนาดา มีระบบการจัดการไฟป่าที่ครอบคลุมทั้งประเทศผ่านหน่วยงานของรัฐบาลกลางและมลรัฐโดยการเผาแบบควบคุม แอฟริกาใต้ ใช้การเผาตามกำหนดในพื้นที่หญ้าและป่าสะวันนา เพื่อป้องกันไฟป่าที่รุนแรง บราซิล มีการพัฒนาระบบการจัดการไฟในป่าอเมซอน แม้จะยังมีความท้าทายในการบังคับใช้ เป็นต้น

การจัดการไฟป่าในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศ ชนิดป่า และนโยบายของรัฐบาล โดยหลายพื้นที่เริ่มผสมผสานความรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการจัดการไฟป่าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

กลับมาที่ประเทศไทยจากการสรุปบบทเรียน 20 ปี การใช้มาตรการห้ามเผาเด็ดขาดส่งผลกระทบทำให้พื้นที่ป่าเสียหายหนักมากกว่า ทำให้มีการลักลอบเผาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งอย่างมากระหว่างชุมชนกับภาครัฐ อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่สามารถควบคุมได้ เป็นเหตุผลที่ทำการนำไฟกลับขึ้นมาอยู่ในที่สว่าง และมองให้เห็นว่าไฟมี 2 แบบทั้งไฟที่จำเป็น และไม่จำเป็น โดยในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการใช้การจัดการไฟในพื้นที่ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ โดยเฉพาะในภาคเหนือ

ดังนั้นคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาด จะทำให้เกิดการแอบเผา เผาแล้วหนี เผาเพราะท้าทาย ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ Fire Management จึงเป็นนวัตกรรมการแก้ปัญหาไฟป่าฝุ่นควันและลดผลกระทบทางสุขภาพ เริ่มจากต้องมีนโยบายและแผนการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ป่าร่วมกันของทุกฝ่ายทั้งชุมชน องค์ปกครองท้องถิ่น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฝ่ายปกครอง

1. ร่วมกันกำหนดพื้นที่ตรงไหนจะร่วมกันรักษาไม่ให้เกิดไฟ (zero burning) ต้องทำแนวกันไฟ ต้องลาดตระเวน ต้องช่วยกันดับเมื่อเกิดไฟ 2. ร่วมกันกำหนดพื้นที่ตรงไหนจำเป็นต้องใช้ไฟจริงๆ (การทำไร่หมุนเวียน พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ พื้นที่ที่มีการสะสมเชื้อเพลิงมากเกินไป พื้นที่เสี่ยง หากเกิดไฟแล้วเข้าดับไม่ได้) ต้องแจ้งพิกัด จำนวนพื้นที่ ขออนุญาตผ่านแอปปลิเคชั่น Fire D เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา ก่อนดำเนินการต้องทำแนวกันไฟ มีกำลังคนควบคุม และดำเนินการให้จบในตอนกลางวัน ป้องกันไม่ให้ลุกลาม 3. พื้นที่นาให้ใช้การไถกลบตอซังข้าวแทนการเผาทุกที่ 4. มีแผนการลดเชื้อเพลิงชิงเก็บ เก็บชีวมวลมาขายเป็นรายได้ หรือการแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และ 5. ในระยะยาวมีแผนสนับสนุนการเปลี่ยนการผลิตเชิงเดียว (ข้าวโพด)ให้เป็นการผลิตที่ยั่งยืน

การขับเคลื่อนนวัตกรรมนี้ที่เชียงใหม่เริ่มกันมา 5 ปีแล้วดูจะมีความหวังที่ปลายอุโมงค์ แต่ทุกอย่างจะต้องหยุดลงด้วยอำนาจจากส่วนกลาง จึงเป็นที่มาของการเรียนร้องของสภาลมหายใจเชียงใหม่ให้มีการทบทวนเพื่อให้นวัตกรรมนี้ของเชียงใหม่ได้เดินหน้าต่อไป Event ดับไฟ คำสั่งห้ามเผาเด็ดขาด (Zero Burning) ไม่ใช่การแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นควัน PM2.5 อย่างยั่งยืน เพราะเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างภายใต้ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมสิ่งแวดล้อม การใช้อำนาจไล่จับชาวบ้านในช่วง 3 เดือนยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้น ต้องยกระดับเชิงระบบ ต้องแก้ในเชิงโครงสร้างเชิงระบบ ต้องมีข้อมูลวิชาการที่ถูกต้องและรอบด้าน ต้องเร่งออก พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด ต้องเปลี่ยนการใช้พลังงานสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และระบบคมนาคมขนส่ง ต้องเปลี่ยนการผลิตเชิงเดี่ยวที่ใช้ไฟการผลิตที่ยั่งยืน ต้องปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ สร้างความมั่นคงในที่ดินทำกินพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในป่า รวมทั้งมีส่วนร่วมในการดูแลป่าอย่างยั่งยืน ต้องมีระบบสวัสดิการในการดูแลป้องกันเยียวยารักษาสุขภาพอย่างทั่วถึง ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นจังหวัดบริหารจัดการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่นและจังหวัด รัฐส่วนกลางสนับสนุน ต้องสนับสนุนภาคีทุกภาคส่วน ร่วมพัฒนาแผนป้องกันและแก้ปัญหาตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล จังหวัด ประเทศ และอาเซียน.

ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง