
โค้งสุดท้าย (จริงๆแล้วจ้า) ของการรับฟังความคิดเห็นพ.ร.บ.อากาศสะอาด มีประเด็นอะไรที่ประชาชนต้องตั้งคำถามบ้าง และอะไรบ้างที่ต้องจับตามองต่อไป
สิทธิในอากาศสะอาด คือความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม และสิทธินี้ของประชาชนกำลังปรากฎชัดขึ้นในร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด โดยพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องควบคุม กำกับ ดูแลให้เกิดอากาศสะอาด นอกจากจะเป็นการส่งเสริมสิทธิของประชาชนแล้ว ยังมีระบุชัดถึงการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนและการกระจายอำนาจยังระดับจังหวัดและส่วนปกครองท้องถิ่น รวมถึงมีมาตรการที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต้องและสถาบันการเงินต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และปรับเป็นพินัย โดยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ยังระบุถึงระบบตรวจสอบย้อนกลับที่ครอบคลุมถึงห่วงโซ่อุปทานนอกราชอาณาจักรอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีกด้วย
แม้จะมีข้อดี แต่เรายังต้องตั้งคำถามกับเนื้อหาประเด็นในพ.ร.บ.อากาศสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประชาชนในภาคเหนือของไทยที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นพิษเป็นประจำทุกปี ว่าสิทธิของประชาชนนั้นจะได้รับความเป็นธรรมมากน้อยเพียงใดหากพ.ร.บ.อากาศสะอาดยังระบุ/ไม่ระบุถึงข้อต่อไปนี้
1. สิทธิทำกินของชุมชนคนอยู่กับป่า ซึ่งในพ.ร.บ.อากาศสะอาดไม่ได้ระบุถึง เนื่องจากสิทธิที่ดินต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดในกฎหมายป่าไม้เดิม แต่เนื่องจากกฎหมายป่าไม้เดิมมีปัญหาที่ต้องแก้ ดังนั้นปัญหาฝุ่นไฟที่เกิดขึ้นอาจไม่ถูกแก้ไขได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ในจังหวัดเชียงใหม่มี 2,077หมู่บ้าน มีหมู่บ้านที่อยู่ในป่า 1,017 หมู่บ้าน การแก้ไขปัญหาความมั่นคงให้กับชุมชนที่อยู่กับป่า จึงควรเป็นสาระสำคัญของพ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้ เนื่องจากการที่ชุมชนถูกจำกัดการพัฒนา ตั้งแต่สิทธิทำกิน และวิถีชีวิตของชุมชนในป่า หากที่ดินไม่มีความมั่นคง จะไม่สามารถสร้างการผลิตพืชทางการเกษตรที่มั่นคงได้ ซึ่งอาจจะลงเอยที่ข้าวโพด สิทธิชุมชนคนอยู่กับป่าจึงมีความสำคัญมาก และยังขาดหายไปในพ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและตรงจุด
2. การควบคุมและกำหนดโทษต่อชุมชนที่ใช้ไฟ กลุ่มธุรกิจ และกลุ่มที่ทำกำไรจากสิ่งที่ก่อให้เกิดมลภาวะ จะมีความเป็นธรรม หรือเป็นการกำหนดความรับผิดชอบที่เท่ากันหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการก่อมลพิษนั้นไม่ควรได้รับโทษน้อยกว่าหรือเท่าเทียมกับประชาชนรายบุคคลทั่วไป
3. แม้จะมีระบบการเก็บภาษี ระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งภายในและนอกประเทศ ในการกำหนดภาระรับผิดให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ประชาชนยังคงต้องจับตามองให้ลุล่วงว่าระบบตรวจสอบนั้นมีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะเข้าถึงได้โดยไม่ต้องร้องขอหรือไม่ หรือสามารถเลี่ยงการให้ข้อมูลมลพิษได้ข้อมูลเนื่องจากถือเป็นความลับทางการค้า นี่คือสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและอากาศสะอาดของประชาชน ดังนั้นระบบตรวจสอบย้อนกลับควรเป็นรูปแบบบังคับใช้ไม่ใช่ระบบสมัครใจ โดยต้องมีมาตรการบังคับใช้เอาผิดอุตสาหกรรมได้ ไม่ใช่เป็นการเอาผิดแค่เกษตรกร
4. การรายงานมลพิษของภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการจับตามองการก่อฝุ่นพิษเฉพาะจากจุดความร้อน โดยสามารถนำหลักการการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR) มาบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมประเทศไทย ‘เปิดข้อมูล’ หรือ Open data มลพิษที่ปล่อยสู่ดิน น้ำ หรืออากาศ ตามสิทธิของชุมชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร (Community Right-to-Know)
5. สิ่งที่น่ากังวลมากๆในพ.ร.บ.อากาศสะอาดร่างนี้คือ การนำระบบการจัดสรร การซื้อขาย และการโอนสิทธิในการระบายสารมลพิษทางอากาศมาใช้กับการจัดการมลพิษทางอากาศ ซึ่งอาจเป็นการส่งเสริมให้ผู้ก่อมลพิษระดับบริษัทอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องลดการปล่อย ยังสามารถปล่อยได้อิสระเหมือนเดิมด้วยการซื้อสิทธิการปล่อยมลพิษ ในขณะที่ชุมชนคนอยู่กับไฟกลับถูกห้ามใช้ไฟอย่างสิ้นเชิงทุกกรณี นี่คือความไม่เป็นธรรมทั้งต่อประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมที่พ.ร.บ.อากาศสะอาดร่างนี้จะเอื้อให้เกิดขึ้น
มลพิษไม่ควรจะซื้อขาย แต่ต้องคำนึงถึงสุขภาพประชาชนด้วยการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง รายงานให้ประชาชนรู้และร่วมตรวจสอบ และลดอย่างเดียวเท่านั้น นี่จะเป็นสิทธิในอากาศสะอาดที่พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีหน้าที่ต้องมอบให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
วันสุดท้ายแล้ว เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ออนไลน์) ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 8 สิงหาคม 2568
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่: https://shorturl.asia/MCoPU

