
ท่ามกลางทะเลแรงงานข้ามชาติ แรงงานหญิงไทใหญ่มักถูกมองข้ามและเอารัดเอาเปรียบในสังคมไทย เรื่องราวของ “เอม” และ “เชโชอู” แรงงานหญิงจากรัฐฉานที่หนีสงครามเข้าไทย เผยให้เห็นวังวนความรุนแรง การถูกล่วงละเมิด และสภาพการทำงานที่เลวร้าย เอกสารที่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูงลิบในการต่อใบอนุญาต ล้วนบีบให้พวกเธอจนตรอก แต่วันนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กร “กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม” พวกเธอไม่เพียงแค่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ยังลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแรงงานหญิงรุ่นใหม่ พลิกบทบาทจากผู้ถูกกระทำสู่ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผลักดันให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน ผู้หญิงกลายเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ ข้อมูลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ชี้ว่า ผู้หญิงคิดเป็นประมาณ 41.5% ของแรงงานข้ามชาติทั่วโลก แต่พวกเธอกลับเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความเสี่ยงมากกว่าเพศชาย ทั้งค่าจ้างที่ต่ำกว่า สภาพการจ้างงานที่ไม่มั่นคง และความเสี่ยงสูงต่อการถูกล่วงละเมิดและการค้ามนุษย์
ปรากฏการณ์การ “กระแสการเพิ่มขึ้นของผู้หญิงในการย้ายถิ่นฐาน” (feminization of migration) ที่พบเห็นได้ทั่วโลกนี้ สะท้อนให้เห็นในประเทศไทยเช่นกัน กลุ่มแรงงานข้ามชาติหญิงในไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในงานที่มีสภาพการจ้างงานไม่มั่นคง ค่าตอบแทนต่ำ และมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ไม่เป็นทางการ เช่น งานรับใช้ในบ้าน งานเกษตร และงานในโรงงานขนาดเล็ก
ในพื้นที่สีเทาของสังคมไทย มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่บนความเปราะบางอันซับซ้อน นั่นคือ “แรงงานหญิงไทใหญ่” ผู้อพยพข้ามพรมแดนจากรัฐฉานในเมียนมา พวกเธอไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความท้าทายในฐานะแรงงานข้ามชาติ แต่ยังต้องแบกรับความเปราะบางที่ทับซ้อนจากการเป็นผู้หญิงในระบบแรงงานที่ไม่เป็นธรรม
ร่างกายของพวกเธอคือเครื่องมือทำมาหากิน ขณะเดียวกันก็เป็นเป้าของการถูกกระทำรุนแรงและล่วงละเมิด สถานะทางกฎหมายที่คลุมเครือเปิดช่องให้นายจ้างเอารัดเอาเปรียบ ทั้งค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐาน สภาพการทำงานที่อันตราย ไร้สวัสดิการและความมั่นคง พวกเธอถูกกักขังในวงจรแห่งความยากจน ไร้อำนาจต่อรอง และถูกผลักให้อยู่ชายขอบของสังคม
ความเปราะบางนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อพิจารณามิติทางเพศสภาพ ในฐานะผู้หญิง พวกเธอเผชิญความเสี่ยงเฉพาะ ทั้งการถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ความรุนแรงในครอบครัว และการถูกแสวงประโยชน์จากร่างกาย โดยไม่มีช่องทางเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครอง
เรื่องราวของแรงงานหญิงไทใหญ่จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการอพยพเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า แต่เป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ท่ามกลางระบบที่เอื้อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ รายงานพิเศษชิ้นนี้จะพาผู้อ่าน ไปรู้จักเรื่องราวชีวิตของสองผู้หญิงไทใหญ่ ผู้ต่อสู้ในพื้นที่สีเทาของสังคม ที่แม้จะถูกเอาเปรียบและล่วงละเมิด แต่ยังคงยืนหยัดด้วยความกล้าหาญ และไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เลวร้าย
หนีตายจากแผ่นดินเกิด สู่ดินแดนแห่งความหวังที่เต็มไปด้วยหลุมพราง

‘เอม’ (สงวนนามสกุล) หญิงสาวผู้เกิดในเมืองเชียงตุง รัฐฉานของเมียนมาร์ ได้เติบโตในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่สงบ เมื่อทหารพม่าเริ่มโจมตีพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ การต่อสู้ระหว่างทหารพม่าและกลุ่มกบฏ รวมถึงการใช้ความรุนแรงจากรัฐบาลพม่า ทำให้ชีวิตของเอมและครอบครัวต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างที่สุด
ในปี 2537 เอมตัดสินใจหนีจากการข่มเหงของทหารพม่าและเดินทางไปยังชายแดนไทย การเดินทางข้ามภูเขาที่สูงชันและปราศจากทรัพย์สินติดตัวเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวของทหารพม่า แต่ทว่า เธอกลับต้องเผชิญกับความโหดร้ายอีกหนึ่งรูปแบบ เมื่อถูกจับกุมโดยทหารพรานไทยที่ชายแดน
‘ห้องขังและโรงงานเถื่อน’ การเอารัดเอาเปรียบที่ไม่มีใครเห็น
การถูกคุมขังนานถึง 9-10 วันในที่ที่ไม่สามารถติดต่อใครได้ทำให้เอมรู้สึกเหมือนตกอยู่ในโลกที่เงียบสงัด ไร้ความหวังและคับแคบจนแทบจะหายใจไม่ออก เอมถูกจำกัดการติดต่อกับโลกภายนอก ไม่มีโทรศัพท์มือถือ และสามารถติดต่อได้แค่เพียงหมายเลขบ้านเท่านั้น ความทรมานจากการถูกคุมขังทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า แม้ในความมืดมนที่สุดของชีวิตก็ยังมีแสงสว่างรออยู่ หากมีคนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและพร้อมยื่นมือมา
การปล่อยตัวของเอมเกิดขึ้นหลังจากความช่วยเหลือจากญาติที่ติดต่อขอประกันตัว และจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแนะนำให้เธอไปทำงานในโรงงานเก็บขยะพลาสติกและขวดในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงแม้จะได้รับค่าจ้างเพียง 20 บาทต่อวัน แต่ในขณะนั้นเธอไม่สามารถเลือกได้ จึงยอมรับงานที่มีให้ในขณะที่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป
เอมเล่าให้ฟังถึงสภาพการทำงานที่แย่จนทนไม่ไหว: “ค่าจ้างแค่วันละ 20 บาท แต่เราถูกห้ามไม่ให้ไปข้างนอก ห้องแคบจนแทบหายใจไม่ออก ถ้าอยากกินอะไรก็ต้องรอชาวบ้านมาขายของที่หน้ารั้วโรงงาน แต่ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกได้”
การศึกษาที่เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งได้ทำการศึกษาแรงงานหญิงจากประเทศเมียนมา 378 คน ที่เข้ามาทำงานยังประเทศไทย กว่า 58.7% ประสบความรุนแรงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิต ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเปราะบาง ได้แก่ ความเปราะบางทางกฎหมายและเศรษฐกิจ – การขาดความคุ้มครองทางกฎหมายเปิดช่องให้เกิดการเอาเปรียบและแสวงประโยชน์ ที่อยู่อาศัยห่างไกล – พักอาศัยในพื้นที่ห่างไกลหรือในที่พักที่นายจ้างจัดให้ ทำให้เข้าถึงความช่วยเหลือได้ยาก อุปสรรคด้านภาษา – ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ ทำให้ไม่เข้าใจสิทธิตนเองและขอความช่วยเหลือไม่ได้ การพึ่งพานายจ้าง – ความไม่สมดุลของอำนาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดและหลบหนีได้ยาก การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมจำกัด – ความไม่รู้กฎหมายและความกลัวการถูกส่งกลับประเทศทำให้ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ |
ราคาของอิสรภาพ ความเสี่ยงที่ต้องแลกมาด้วยทุกลมหายใจ
ด้วยความทนทุกข์จากสภาพแวดล้อมที่ยากจนและการขังตัวอยู่ในห้องแคบๆ เอมตัดสินใจหลบหนีจากโรงงาน โดยการว่ายน้ำตามแม่น้ำปิงจนไปถึงฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือเป็นการต่อสู้กับธรรมชาติและความยากลำบากอีกครั้ง เมื่อเจอกับตำรวจที่มาในระหว่างทาง เอมใช้ท่าทีกล้าหาญในการอ้างว่าเธอมาเก็บผลไม้ในสวน ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้ตำรวจคิดว่าเธอทำงานในสวน และช่วยให้เธอได้หลุดพ้นจากสถานการณ์คับขัน
แม้เริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย แต่เอมได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่ใจดีและพาไปที่บ้านของเขา ถึงแม้เจ้าของบ้านจะไม่ยินยอมให้เธอพักอาศัยในตอนแรก แต่สุดท้ายเอมได้รับการช่วยเหลือจากทหารกรมป่าไม้ และได้เริ่มทำงานในพื้นที่เกษตรบนดอยวาวี อำเภอฝาง ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีค่าจ้างแต่เธอก็ยังคงทำงานเพื่อเอาชีวิตรอด
“เราอยู่ไปวันๆ ไม่มีอะไรเลย แต่ก็ยังต้องทำงานเพื่อให้รอดไปได้” เอมกล่าวถึงชีวิตที่เธอต้องต่อสู้ในสภาพที่ยากจนและขาดแคลน
หลายปีที่ผ่านไป ความลำบากของเอมยังคงไม่สิ้นสุด แต่เธอก็ยังคงพยายามหาทางเริ่มต้นใหม่ เมื่อเธอได้รับโอกาสทำงานเป็นแม่บ้านในเชียงใหม่ และได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านที่ให้การดูแลเธออย่างดี พร้อมกับการเพิ่มค่าแรงที่สูงขึ้นในช่วงเวลานั้น สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในชีวิตของเอม
แม้ว่าจะยังคงมีความยากลำบากเอมได้กล่าวว่า “ถ้าชีวิตนี้ยังไม่พัง ก็ยังมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่” เธอไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคและเชื่อเสมอว่าความพยายามในชีวิตจะพาเธอไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
ถึงแม้จะอยู่ในประเทศไทยในฐานะแรงงานข้ามชาติที่ต้องต่อสู้ทั้งในด้านเอกสารและการขออนุญาตทำงาน เอมยังคงเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะกระบวนการขอใบอนุญาตทำงาน ซึ่งไม่ใช่แค่การยื่นเอกสาร แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยากลำบากในทุกขั้นตอน
ในขณะที่บางคนอาจมองว่าการทำงานในต่างแดนเป็นโอกาสที่ดี แต่สำหรับคนอย่างเอม การทำงานในต่างแดนนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เอม แรงงานหญิงจากพม่า ที่ทำงานในประเทศไทย เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในการต่อใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่ใช่แค่การยื่นเอกสารทั่วไป แต่มันเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ซับซ้อนทั้งในด้านการเงินและเวลา
การต่อสู้ในระบบเอกสาร ใบอนุญาตทำงานที่แพงเกินกว่าแรงงานจะแบกรับ
“มันเป็นเรื่องที่ยากมากต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ตั้งแต่การตรวจสุขภาพจนถึงการยื่นเอกสารต่างๆ กับสถานทูต ซึ่งบางครั้งผลการตรวจสุขภาพก็ต้องรอหลายวันก่อนจะออกมา” เอมกล่าว
ขั้นตอนนี้ทำให้เธอต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากมาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสุขภาพที่หลายครั้งต้องจ่ายซ้ำ เพราะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเอกสารที่ส่งไปจะได้รับการอนุมัติในทันที
ค่าใช้จ่ายในกระบวนการนี้รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งรวมทั้งค่าใบอนุญาตทำงานที่ต้องจ่ายไปหลายหมื่นบาทต่อ 2 ปี นอกจากนี้ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการจ้างตัวแทนหรือบล็อกเกอร์ที่ช่วยในการดำเนินการต่อใบอนุญาต
“รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ที่ยังไม่รวมภาษีที่จะต้องจ่ายในขั้นตอนต่อไป” เธอเผยที่สำคัญที่สุด ในช่วงที่เอกสารยังไม่ได้รับการอนุมัติจากสถานทูตนั้น การทำงานก็ยังไม่ได้รับอนุญาตอย่างสมบูรณ์ ทำให้บางคนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องของการทำงานและการเงิน
“มันไม่ใช่แค่การต่อใบอนุญาต แต่ยังเป็นการพยายามเอาตัวรอดในระบบที่มันซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก” ในขณะที่คนบางกลุ่มในสังคมอาจมองว่าการทำงานในต่างแดนเป็นโอกาสที่ดี แต่สำหรับแรงงานข้ามชาติหลายคน สิ่งนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคที่ยากจะเอาชนะ ไม่เพียงแค่ในด้านการทำงาน แต่ยังรวมถึงการรักษาสิทธิพื้นฐานต่างๆ ที่ควรจะได้รับ
การต่อใบอนุญาตทำงานอาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในระบบที่ซับซ้อนของการทำงานในต่างแดน แต่สำหรับแรงงานข้ามชาติที่ต้องรับภาระหนักในทุกขั้นตอน ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้และเผชิญกับความยากลำบากทุกวัน
จาก การศึกษาของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) พบว่าระบบเอกสารและใบอนุญาตสำหรับแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยเต็มไปด้วยอุปสรรคที่สร้างความเปราะบางให้กับแรงงาน กระบวนการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานมีความซับซ้อน มีการรวมศูนย์อำนาจการอนุมัติไว้ที่ส่วนกลาง ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ระบบออนไลน์ขาดเสถียรภาพและมีระยะเวลาดำเนินการที่จำกัดไม่สอดคล้องกับขั้นตอนที่ยุ่งยาก ความซับซ้อนของระบบได้สร้างช่องว่างให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงเกินจริง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ควรอยู่ที่ประมาณ 12,000-15,000 บาท กลับพุ่งสูงถึง 25,000-50,000 บาท ทำให้แรงงานข้ามชาติต้องแบกรับภาระหนี้สินและเสี่ยงต่อการตกอยู่ในวงจรแรงงานขัดหนี้ อีกทั้งยังพบปัญหาความล่าช้าในการออกเอกสารหนังสือเดินทางจากประเทศต้นทาง โดยเฉพาะจากประเทศพม่า และศูนย์จัดทำเอกสารไม่สามารถรองรับจำนวนแรงงานข้ามชาติได้ทันตามกรอบเวลา นอกจากนี้ยังมีความไม่โปร่งใสของนโยบายและการปฏิบัติ ขาดการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการ และมีการปรับเปลี่ยนระบบโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า รวมถึงความสับสนในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น สถานพยาบาลขายประกันสุขภาพไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขการขอใบอนุญาตทำงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนการขาดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระยะยาว เห็นได้จากการใช้มติ ครม. ถึง 18 ครั้งในช่วง 4 ปี ซึ่งเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้น |
‘วัยเยาว์ที่สูญหาย’ เมื่อความฝันของเด็กสาววัย 14 กลายเป็นฝันร้าย

หญิงอีกหนึ่งราย “เชโชอู” แรงงานหญิงชาวไทใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของระบบเศรษฐกิจไทยมากว่าสามทศวรรษ เธอเดินทางเข้าสู่แผ่นดินนี้ตั้งแต่อายุ 14 ปี ด้วยความหวังว่าจะหาเงินเพื่อรักษาแม่ที่ป่วยหนัก แต่สิ่งที่รอเธออยู่กลับเป็นแรงงานหนัก การหลอกลวง และความรุนแรงที่ตามหลอกหลอนตลอดชีวิต
พ.ศ. 2537 เชโชอูเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมกับแม่ เธอจำได้ว่าตอนนั้นค่าจ้างเก็บใบชาอยู่ที่วันละ 20 บาท เงินที่ได้แทบไม่พอใช้ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก จนเมื่อแม่ของเธอเสียชีวิตลง เธอเหลือตัวคนเดียวในโลกกว้าง
“พ่อแม่เสียตั้งแต่อายุ 16 เราเลยต้องกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มากับเพื่อนที่ชวนมา บอกว่าจะมีงานให้ทำที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่ใช่อย่างที่คิด…”
เธอเล่าให้ฟังถึงวันที่เธอถูกพาไปเชียงรายกับคนอีก 10 กว่าคน ทั้งหมดเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เชื่อว่ากำลังมุ่งหน้าไปหาโอกาสที่ดีขึ้น แต่พอไปถึงปลายทาง พวกเธอกลับต้องทำงานหนัก ขุดดินทั้งวัน ไม่มีค่าจ้างจริง ๆ มีเพียงอาหารพอประทังชีวิต และทุกครั้งที่ถึงวันจ่ายเงิน หญิงที่พาพวกเธอมาก็จะมาเก็บเงินทั้งหมดไป
“ตอนนั้นมันเหมือนถูกขังในนรก เราทำงานฟรี ขุดดินจนมือแตกระแหง ไม่มีวันหยุด ไม่มีทางออก ยกเว้นหนี…”
เชโชอูและกลุ่มเพื่อนตัดสินใจหนีออกจากสถานที่ทำงานของเธอ พวกเขาเดินทางทั้งคืนผ่านป่าดอย เดินจนขาแทบหมดแรง และสุดท้ายก็ขึ้นรถกระบะของคนแปลกหน้าที่พาพวกเขาไปปล่อยที่สถานีตำรวจ ด้วยความหวาดกลัว พวกเขาจึงรีบหนีอีกครั้ง และไปพบกับชายคนหนึ่งที่พาพวกเขาไปทำงานในสวนลิ้นจี่ที่อำเภอฝาง แม้จะเป็นงานหนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่เดิมอย่างน้อยพวกเขาก็ได้รับค่าจ้างจริง ๆ
‘ร่างกายที่ไม่ปลอดภัย’ เมื่อเพศสภาพคือความเปราะบางที่ซ้อนทับ
แต่ชีวิตที่ฝางก็ไม่ง่ายสำหรับเธอ ในแคมป์คนงานที่เธออยู่ เธอต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศอย่างต่อเนื่อง ครั้งแรกเธอถูกผู้ชายในแคมป์พยายามล่วงละเมิด แต่เธอหนีออกมาได้ ครั้งที่สองเกิดขึ้นขณะเธอกำลังจะอาบน้ำ ผู้ชายคนหนึ่งปิดประตูห้องน้ำและพยายามขืนใจเธอ เธอร้องไห้และต่อสู้สุดแรงจนเขายอมปล่อยเธอไป
“ทุกคืนต้องนอนด้วยความกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก กลัวว่าจะไม่มีทางหนี”
ต่อมาเธอแต่งงานกับชายไทยคนหนึ่ง หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่มั่นคงขึ้น แต่ความรุนแรงในครอบครัวกลับทำให้เธอตกอยู่ในวังวนของความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามีของเธอเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อเขาไม่มีเงินก็มักจะระบายความโกรธกับเธอ
“บางครั้งฉันถูกตี ถูกด่าทอ แต่ฉันไม่มีที่ไป ฉันเป็นผู้หญิงต่างชาติ ไม่มีเอกสาร ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีใครปกป้อง” เธอเล่าว่า แม้จะมีลูกด้วยกัน แต่ชีวิตของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความทุกข์ ปัจจุบันเธอพยายามหางานทำเพื่อเลี้ยงลูกชาย แต่ด้วยข้อจำกัดของสถานะทางกฎหมาย เธอจึงได้แต่งานรับจ้างทั่วไปที่ค่าตอบแทนต่ำและไม่มั่นคง
เรื่องราวของเชโชอูสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของแรงงานหญิงข้ามชาติในประเทศไทย พวกเธอเป็นแรงงานที่อยู่ในเงามืด ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีเสียงในสังคม และเมื่อถูกกระทำ ไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
“เราเป็นคน ไม่มีใครอยากถูกทารุณ ไม่มีใครอยากถูกทำร้าย แต่เพราะเราเป็นใคร มาจากไหน เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความยุติธรรมเหมือนคนอื่น”
จากการศึกษาหลายชิ้นในระดับสากลและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าแรงงานข้ามชาติและผู้อพยพหญิงมักเผชิญกับการล่วงละเมิดทางเพศในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่วาจาจนถึงการใช้ความรุนแรงทางร่างกาย ซึ่งมักถูกกระทำโดยนายจ้าง ผู้ร่วมงาน เจ้าหน้าที่รัฐ นายหน้า หรือแม้แต่คนในชุมชนที่พวกเธออาศัยอยู่ การล่วงละเมิดมักเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่พวกเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ที่พักอาศัยในบ้านนายจ้าง พื้นที่ทำงานที่โดดเดี่ยว หรือสถานที่ปลีกวิเวก โดยเฉพาะแรงงานทำงานบ้านที่ต้องพักอาศัยกับนายจ้าง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกข่มขืนหรือถูกบังคับให้มีความสัมพันธ์ทางเพศ ขณะที่แรงงานในกิจการประมงและเกษตรกรรมมักถูกข่มขู่ด้วยอาวุธหรือถูกวางยาสลบ การใช้อำนาจที่เหนือกว่ามักสัมพันธ์กับการล่วงละเมิด เช่น การบังคับหรือต่อรองเพื่อแลกกับการไม่แจ้งตำรวจ การต่อใบอนุญาตทำงาน หรือเพื่อแลกกับค่าจ้าง โดยผู้กระทำมักใช้สถานะทางกฎหมายที่ไม่มั่นคงของแรงงานข้ามชาติเป็นเครื่องมือข่มขู่ ทั้งนี้ ความไม่เท่าเทียมทางภาษา ช่องว่างทางวัฒนธรรม และการขาดเครือข่ายทางสังคม ทำให้แรงงานข้ามชาติหญิงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงความช่วยเหลือและความยุติธรรม ที่สำคัญคือ การล่วงละเมิดมักไม่ได้รับการรายงาน เนื่องจากความกลัวการถูกส่งกลับประเทศ การสูญเสียงาน ความอับอาย และการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ส่งผลให้ผู้กระทำไม่ถูกลงโทษและปัญหายังคงดำรงอยู่ในวงจรความรุนแรงที่ไม่สิ้นสุด |
‘กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม’ เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นช่วยเหลือกันเอง

จากประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปีในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงาน ศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา ผู้ก่อตั้งกลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม (Women Workers For Justice Group) มองว่าปัญหาของแรงงานหญิงข้ามชาติในไทยไม่ใช่เพียงเรื่องการแย่งงานคนไทยอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่เป็นความซับซ้อนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดซ้ำซากในระบบแรงงาน
“ความจริงคืองานที่แรงงานข้ามชาติทำส่วนใหญ่เป็นงานที่คนไทยไม่ยอมทำอยู่แล้ว งานเสี่ยงอันตราย ค่าแรงต่ำ สภาพแวดล้อมย่ำแย่” ศุกานตากล่าว “แม้แต่ลูกหลานคนไทยเองยังไม่อยากกลับมาทำงานเกษตรหรืองานหนักที่ผู้หญิงไทใหญ่ต้องทำอยู่ทุกวัน”
ศุกานตาเผยว่ามีแรงงานหญิงข้ามชาติอีกมากที่ตกอยู่ในวังวนของการถูกละเมิดสิทธิซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อพวกเธอประสบอุบัติเหตุหรือตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ระบบการช่วยเหลือกลับซับซ้อนและล่าช้าเกินกว่าจะรับมือกับปัญหาฉุกเฉินได้ทันท่วงที
“เรามีกรณีที่แรงงานหญิงพิการจากอุบัติเหตุในโรงงาน แต่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนผู้พิการหรือเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนได้ เพียงเพราะสถานะทางกฎหมายและขั้นตอนที่ซับซ้อนเกินไป” ศุกานตากล่าวด้วยความกังวล
ในฐานะที่ทำงานกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติมาหลายปี เธอพบว่าระบบเอกสารที่ต้องผ่านสถานทูตเป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะสร้างความล่าช้าและเพิ่มขั้นตอนโดยไม่จำเป็น ต่างจากในอดีตที่การจัดการเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า
“เมื่อก่อนเพียงแค่พาแรงงานไปถ่ายบัตรและแจ้งการจ้างที่อำเภอก็จบ แต่ตอนนี้ต้องผ่านสถานทูตซึ่งมีกระบวนการยุ่งยากและล่าช้า” เธออธิบาย
ความซับซ้อนของระบบยังสร้างความหวาดกลัวให้แรงงานข้ามชาติอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการส่งข้อมูลกลับไปยังรัฐบาลในประเทศต้นทาง ซึ่งหลายคนมีความขัดแย้งทางการเมืองและไม่ต้องการให้รัฐบาลในประเทศของตนรู้ข้อมูล
ปัจจุบันศุกานตาและทีมงานได้จัดตั้งกลุ่มสนับสนุนผู้หญิงทำงานเพื่อมุ่งเน้นประเด็นสิทธิแรงงานหญิงข้ามชาติโดยเฉพาะ เพราะพบว่าแม้มีองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิผู้หญิงในไทยมากมาย แต่แทบไม่มีองค์กรที่ให้ความสำคัญกับแรงงานหญิงข้ามชาติอย่างจริงจัง
“เราให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย สอนสิทธิแรงงาน และจัดหาความช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงสร้างที่พักพิงชั่วคราวในวัดสำหรับผู้หญิงที่ประสบปัญหา” ศุกานตาเล่าด้วยความภูมิใจ
กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม ยังทำงานอีกหลายด้าน ตั้งแต่การจัดการเรื่องศพให้ผู้เสียชีวิตที่ไม่มีญาติ การช่วยเหลือด้านอนามัย เช่น แจกผ้าอนามัยฟรีให้แรงงานหญิง ไปจนถึงการอบรมแกนนำแรงงานให้เข้าใจกฎหมายและสามารถช่วยเหลือเพื่อนแรงงานด้วยกันได้
“เราต้องการให้ผู้หญิงไทใหญ่และแรงงานข้ามชาติทุกคนรู้ว่าพวกเธอมีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับการเคารพ ไม่ว่าพวกเธอจะมาจากที่ไหนหรือทำงานอะไร” ศุกานตากล่าวทิ้งท้าย
‘การเดินทางจากความมืดสู่แสงสว่าง’ เมื่อผู้เคยบอบช้ำลุกขึ้นเยียวยาผู้อื่น
ในวันที่สังคมพูดถึงสิทธิและเสรีภาพ การต่อสู้ของแรงงานหญิงข้ามชาติยังคงเป็นเรื่องที่ถูกละเลย พวกเธอยังคงต้องดิ้นรนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอุปสรรค และแม้จะผ่านความทุกข์มามากเพียงใด พวกเธอก็ยังต้องก้าวเดินต่อไป เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ทุกวันนี้ เอมและเชโชอู ไม่ได้เพียงแค่ดิ้นรนเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่พวกเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม” ที่นำโดยศุกานตา บทบาทของพวกเธอเปลี่ยนจากผู้ขอความช่วยเหลือกลายเป็นผู้ให้ คอยแนะนำแรงงานหญิงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในเส้นทางเดียวกัน ทั้งเรื่องเอกสาร สิทธิที่พึงมี และวิธีเอาตัวรอดในระบบที่ไม่เป็นธรรม
บนเส้นทางที่พวกเธอเดินผ่านมา จากความเจ็บปวดและการถูกละเมิด สู่การลุกขึ้นยืนและช่วยเหลือผู้อื่น สิ่งที่พวกเธอต้องการมากที่สุดคือการได้รับการยอมรับว่าพวกเธอก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับทุกคนในสังคม
เสียงของพวกเธออาจจะเบา แต่เมื่อรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่าย พลังของผู้หญิงเหล่านี้ก็เริ่มสั่นสะเทือนระบบที่ไม่เป็นธรรม จากหญิงสาวผู้โดดเดี่ยวสู่แรงงานที่มีพลัง จากผู้ถูกกระทำสู่ผู้กล้าที่ลุกขึ้นต่อสู้ พวกเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ในความมืดมิดที่สุด แสงสว่างแห่งความหวังและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ยังคงมีอยู่เสมอ.
![]() ติดตามและสนับสนุนพวกเธอได้ทาง กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม WJG |
