10 กุมภาพันธ์ 2568

เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สภาลมหายใจร่วมกับมูลนิธิสื่อประชาธรรม จัดกิจกรรม “ฝุ่น ไฟ Dialogue เชียงใหม่” เพื่อพูดคุยสถานการณ์การสื่อสารเรื่องฝุ่นควันเชียงใหม่ ร่วมกับสื่อท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องด้วยหลายปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เผชิญวิกฤตฝุ่นควัน PM2.5 ซ้ำซาก แต่การสื่อสารของสื่อท้องถิ่นกลับยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
“ขนาดเราเป็นสื่อยังไม่เข้าใจข้อมูลเลย แล้วประชาชนล่ะ?” คือเสียงสะท้อนจากหนึ่งในผู้เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างสื่อท้องถิ่นและสภาลมหายใจเชียงใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่คนทำสื่อเองก็ยังสับสนกับข้อมูลที่มีอยู่มากมาย ด้านนันทา เบญจศิลารักษ์ จากมูลนิธิสื่อประชาธรรม พูดถึงความท้าทายในการสื่อสารวิกฤตฝุ่นควันเชียงใหม่เพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ว่ามี 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ หนึ่ง ความรู้ในการทำข่าว ที่มีหลายเรื่อง คือความรู้เรื่องการจัดการไฟ ที่มีความขัดแย้งระหว่างนโยบาย “ห้ามเผาเด็ดขาด” (Zero Burning) กับ “การบริหารจัดการไฟ” รวมถึงความแตกต่างระหว่างภูมิปัญญาชุมชนกับหลักวิชาการ ความรู้ความเข้าใจที่มาที่ไปของการเผาในภาคเกษตร และความรู้เรื่องสุขภาพที่ต้องสื่อสารอย่างไรไม่ให้เกิดความตระหนก แต่สร้างความตระหนักได้อย่างไร สอง การแก้ไขปัญหาหมอกควันมีใครเกี่ยวข้องบ้าง มีคณะทำงานกี่ชุด แก้ไขปัญหาอะไรบ้าง มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร สาม คือ Big Data และการเข้าถึงข้อมูลของสื่อมวลชน และภาคประชาชน ทุกวันนี้มีข้อมูลมากมาย แต่คำถามคือข้อมูลตัวเลขดังกล่าวบอกอะไรกับเราบ้าง
“เราเชื่อว่าข้อมูลดาวเทียมอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องมีข้อมูลภาคพื้นด้วย เพราะมีการพูดกันว่าบางพื้นที่มีการเผาเพื่อหลบดาวเทียม” นันทากล่าว ขณะที่ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ จากสภาลมหายใจเชียงใหม่ สะท้อนปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เมื่อนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายมุ่งเน้นไปที่การจับจ้องการเผาในพื้นที่เกษตรและป่าเท่านั้น “มันเกิดการไล่ล่าแต่ชาวบ้านที่อยู่ในป่า แต่แหล่งมลพิษอื่นอย่างการคมนาคมขนส่งกลับไม่โดนอะไรเลย ทำให้ชาวบ้านรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“ปีที่แล้วไฟไหม้ในเขตป่ามากกว่า 90% นี่แสดงว่ามันมีปัญหากับชุมชนในพื้นที่ป่า มีปัญหากับการบริหารจัดการในพื้นที่ป่า” ชัชวาลย์ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาของภาครัฐยังติดกับดักหลายอย่าง ทั้งการทำงานแบบแยกส่วน ติดระเบียบกฎหมาย และนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องเมื่อเปลี่ยนผู้นำ
ชัชวาลยังชวนตั้งข้อสังเกตในเรื่องคำสั่งของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ที่ได้แถลงภายหลังการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมาว่า ทุกหน่วยงานต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยใน 3 เดือนนี้ต้องไม่มีการเผาป่า เผาในที่โล่งแจ้ง เผาซากผลผลิตทางการเกษตร พร้อมประกาศ “มือเผา” ห้ามเผาทุกกรณีไม่มีข้อยกเว้น โดยกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาแบบ single command ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะ 17 จังหวัดภาคเหนือได้ประกาศเขตเป็นพื้นที่ห้ามเผา หากพบการฝ่าฝืนจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
ในแง่มุมวิชาการยอมรับว่านโยบาย “ห้ามเผาเด็ดขาด” ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะต้องแยกแยะระหว่างไฟที่จำเป็นและไม่จำเป็น “ไฟที่ไม่จำเป็นต้องห้ามเด็ดขาด แต่ไฟที่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ควบคุมไม่ให้ลุกลาม” ชัชวาลย์กล่าว พร้อมวิจารณ์ว่ารัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับงานวิจัย แต่กลับไม่นำผลการศึกษามาใช้ในการกำหนดนโยบาย
อย่างไรก็ตาม เชียงใหม่ถือเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ มีการทำงานร่วมกันตลอดทั้งปีระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งการใช้แอปพลิเคชัน Fire D ในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง การสนับสนุนจากภาคธุรกิจต่อชุมชนที่จัดการไฟได้ดี และความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และภาครัฐ
“เราไม่ควรใช้มาตรการเดียวกันทั้งประเทศ” ชัชวาลย์เสนอ พร้อมยกตัวอย่างว่าเชียงใหม่มีพื้นที่ป่า 70% แต่กรุงเทพฯ ไม่มีป่าเลย ขณะที่แม่ฮ่องสอนมีป่าถึง 86% แต่มีรถยนต์น้อยมาก ต่างจากกรุงเทพฯ ที่มีทั้งรถยนต์และโรงงานจำนวนมาก “แต่ละจังหวัดควรได้รับอำนาจในการจัดการตามบริบทของตัวเอง โดยส่วนกลางทำหน้าที่กำหนดนโยบายและสนับสนุนในภาพรวม”
“เราอยากเห็นเวทีที่ทุกฝ่ายได้มาพูดคุยกัน โดยมีสื่อเป็นสะพานเชื่อม และอยากเห็นรัฐใช้งานวิชาการที่มีอยู่มาช่วยตัดสินใจ” ชัชวาลย์ทิ้งท้าย สะท้อนความหวังว่าการแก้ปัญหาฝุ่นควันต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่การจับผิดหรือโทษกันไปมา
พวกเราชาวเชียงใหม่เห็นว่าอย่างไรบ้าง ชวนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันค่ะ

ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ