“ต่อไปนี้นักศึกษาจะจัดกิจกรรมชุมนุมรวมกลุ่มกัน จะต้องได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกสารพัด นี่หรือมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันทางวิชาการ แม้แต่การรวมตัวยังต้องขออนุญาต พยายามทำตัวเป็นรัฐไทยที่มี พ.ร.บ.ชุมนุม (ซึ่งยกเว้น สถานศึกษา) ประกาศฉบับนี้ ถือเป็นความร้ายแรงอย่างยิ่งเพราะจะไม่มีพื้นที่ไหนที่นักศึกษา เยาวชน หรือประชาชน จะสามารถเรียกร้องปัญหาอีกได้ #ไม่เอาประกาศชุมนุมมอชอ”

ข้อความข้างต้น ปรากฏบนโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “ประชาคมมอชอ-Community of MorChor” ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบโต้-คัดค้านต่อประกาศมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง การขออนุญาตใช้พื้นที่จัดกิจกรรมการชุมนุมตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เผยเเพร่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 ประกาศดังกล่าวได้นำมาสู่การถกเถียงในหมู่นักศึกษา อาจารย์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่ากำลังลากจูงมหาวิทยาลัยออกจากลู่ทางของการเป็นพื้นที่เเห่งเสรีภาพหรือไม่ เพียงใด และกำลังสวนทวนบทบาทเเห่งการเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อหนุนเสริมประชาธิปไตย

ทิศทางเเห่งทัศนะดังกล่าวคาบเกี่ยวกับความเห็นของ ธีรเทพ จิตหลัง นักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา และอดีตสมาชิกสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมและการเมืองโดยเฉพาะในช่วงปี 2563 – 2564 โดยมองว่า “มหาวิทยาลัยปัจจุบันค่อนข้างทำตัวเป็นกลางระหว่างการสนับสนุนและต่อต้านประชาธิปไตยหรือความเป็นธรรมทางสังคม และหากมองเฉพาะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งค่อนข้างมีเสรีภาพกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งยังมีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการประชาธิปไตยไทย การเลือกเมินเฉยและไม่เลือกข้างนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในบางครั้งก็นับว่าเป็นท่าทีที่น่าผิดหวัง ยังดีที่มีคณาจารย์บางท่านที่มีค่อยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือนักศึกษา แม้จะมีเเรงกดดันจากการเมืองภายในมหาวิทยาลัยเองก็ตาม ส่วนอีกความน่าผิดหวังคือการหลายครั้งนักกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยพยายามผลักดันประเด็นทางสังคมผ่านสภานักศึกษา ซึ่งต้องการมีส่วนร่วมและหนุนเสริมจากคณะผู้บริหาร กลับพบว่าไม่ถูกให้ความสำคัญ เช่น การเชิญอธิการบดีหรือผู้บริหารมาร่วมพูดคุย หลายครั้งกลับส่งเพียงเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจมาเเทน”

ธีรเทพ จิตหลัง คนขวาสุด /ภาพ: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ หากย้อนมองประวัติศาสตร์บทบาทมหาวิทยาลัยจากหลากหลายมุมโลกจะพบว่ามหาวิทยาลัยประกาศตนเป็น “พื้นที่และพลังเพื่อส่งเสริมเติมเต็มเสรีภาพในหลายที่ เช่น ปี พ.ศ. 2529 มหาวิทยาลัยปารีสคือพื้นที่ที่นักศึกษาชาวฝรั่งเศสนัดรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลของนายพลชาร์ลส เดอ โกล ปฏิรูปการศึกษา ขณะที่ปี พ.ศ. 2530 มหาวิทยาลัยยอนเซ กลายเป็นพื้นที่ที่นักศึกษาและประชาชนชาวเกาหลีใต้ ใช้ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการนายพลชอน ดูฮวาน ส่วนไทยอย่างน้อยคือในปี พ.ศ. 2516 จากเหตุการณ์ “14 ตุลาฯ” และปี พ.ศ. 2519 จากเหตุการณ์ “6 ตุลาฯ” หรือในห้วงสองถึงสามปีให้หลังมานี้ก็มีการใช้พื้นที่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อชุมนุมประท้วงรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ข้างต้นล้วนสะท้อนความจริงร่วมกันประการหนึ่งคือ “มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่แห่งเสรีภาพสำหรับตั้งต้นและขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตย”กระนั้นนั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของบทบาทในการส่งเสริมประชาธิปไตยของมหาวิทยาลัย เพราะประชาธิปไตยไม่เพียงแค่การมีเสรีภาพในการป่าวร้องแสดงความเห็น ทว่ามากไปกว่านั้นยังมีลักษณะอื่น ๆ อันจะหนุนเนื่องให้สังคมนั้น ๆ เป็นประชาธิปไตยอีก ดังเช่นที่ลิขิต ธีรเควิน นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ระบุถึงลักษณะทั่วไปของสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยไว้ 5 ประการได้แก่ หนึ่ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  สอง ประชาชนได้รับการประกันเสรีภาพและความเสมอภาค  สาม ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมือง สี่ มีการใช้หลักนิติธรรม (rule of law) ปกครองประเทศ และห้า ผู้นำและประชาชนมีจิตวิญญาณและค่านิยมของความเป็นประชาธิปไตย

งานเขียนชิ้นนี้มุ่งนำเสนอบทบาทของมหาวิทยาลัยกับการส่งเสริมประชาธิปไตยในสังคมโดยพิจารณาตามหลักคิดของลิขิต ธีรเควิน ข้างต้น ซึ่งทำให้สามารถแบ่งประเด็นสำคัญเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก ประดุจดังบ่อน้ำบำบัดความกระหาย กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในการผลิตงานวิชาการและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยแก่นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ประเด็นต่อมา ดินแดนเพื่อเสรีภาพและเสมอภาคทุกตารางนิ้ว กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในการส่งเสริมเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างรอบด้านซึ่งนับว่าเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และประเด็นสุดท้าย ต่อต้านเผด็จการอำนาจนิยม ยืนหยัดธำรงหลักนิติธรรม กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาซึ่งทรงอิทธิพลต่อการโน้มนำมติมหาชน โดยจำเป็นต้องแสดงออกซึ่งการต่อต้านเผด็จการอำนาจนิยม การสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการธำรงรักษาหลักนิติธรรมให้คงอยู่ในสังคม

ทั้งนี้เพื่อมิให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจึงควรกล่าวเสียแต่ต้นด้วยว่าคำว่า “มหาวิทยาลัย” ณ ที่นี้ มิได้หมายถึงแต่เพียงสถาบันหรือตัวอาคารตึกเรียนที่ตั้งอยู่ในรั้วรอบขอบใดเท่านั้น หากแต่ครอบคลุมรวมถึงนิสิตนักศึกษา อาจารย์ และผู้บริหารซึ่งล้วนแต่เป็นองคาพยพที่สำคัญของมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 

ประดุจดังบ่อน้ำบำบัดความกระหาย

“…มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจดังบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎรผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมีควรได้ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา…”

หากยึดบทบาทของมหาวิทยาลัยตามคำอุปมาของปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษและหนึ่งในคณะผู้วางรากฐานประชาธิปไตยในไทย คงกล่าวได้ว่าปัจจุบันสังคมไทยมีบ่อน้ำมากมายผุดเกิดขึ้นมาดับความกระหายของราษฎร แน่นอนที่สุดว่าความกระหายประการแรกคือกระหายที่จะศึกษาวิทยาการความรู้อันมีประโยชน์แก่ปัจเจกชนและสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือศิลปะ ย่อมอยู่ในบทบาทของมหาวิทยาลัยที่จะจัดให้มีการเรียนการสอนอยู่แล้ว แต่ความกระหายอีกประการที่มหาวิทยาลัยในประเทศประชาธิปไตยไม่อาจละได้เลยคือความกระหายของประชาชนที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่ถูกต้อง หรือหากแม้ประชาชนไม่ได้กระหายด้วยตัวเอง มหาวิทยาลัยก็พึงส่งเสริมให้ประชาชนกระหายขึ้นมา จากนั้นจึงบำบัดความกระหายทั้งด้วยวิชาการที่จัดสอนในห้องเรียน กิจกรรมอบรมเสวนา ตลอดรวมถึงสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยเอง โดยนับว่าเป็นขั้นแรกและขั้นสำคัญของการสร้างสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาชนที่เปี่ยมเต็มด้วยความเข้าใจว่าอย่างไรคือประชาธิปไตย ย่อมสามารถจำแนกได้ว่าสถานการณ์แบบไหนที่เป็นประโยชน์หรืออันตรายต่ออำนาจของปวงชน กล่าวให้ชัดขึ้นคือพวกเขาจะเป็นพลเมืองที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อประชาธิปไตยมากขึ้นนั่นเอง

ทั้งนี้ เราอาจแบ่งประชาชนที่มหาวิทยาลัยพึงบำบัดความกระหายออกเป็นสองกลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรก คือประชาชนซึ่งมีสถานะเป็นนักศึกษาที่สมัครและมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย โดยไม่ว่าจะศึกษาในศาสตร์แขนงใดมหาวิทยาลัยก็ควรออกแบบหลักสูตรให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานเป็นอย่างน้อย เป็นต้นว่าเข้าใจความหมาย ความสำคัญ และลักษณะที่จะทำให้สังคมเป็นประชาธิปไตย ดังตัวอย่างหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่กำหนดให้นักศึกษาทุกคนต้องเรียนรายวิชา มธ.100 พลเมืองกับการลงมือแก้ปัญหา ซึ่งวางรากฐานความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตยพร้อมทั้งสร้างสำนึกร่วมในการแก้ปัญหาสังคมผ่านการลงพื้นที่และลงมือปฏิบัติ เป็นต้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังสามารถส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยแก่นักศึกษาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดรวมถึงการจัดการโครงสร้างองค์กรหรือสโมสรนักศึกษาให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ให้สิทธิ์แก่นักศึกษาได้เลือกตั้งอย่างเต็มที่โดยปราศจากการแทรกแซงจากคณะผู้บริหาร คณาจารย์หรือศิษย์เก่า 

ประชาชนอีกกลุ่มคือประชาชนทั่วไป โดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยแก่คนกลุ่มนี้ได้หลายวิธี เช่น การผลิตงานวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย ซึ่งที่ผ่านมาก็ปรากฏไม่น้อย หากทว่าอาจจำเป็นต้องออกแบบวิธีการสื่อสารผลจากงานวิชาการเหล่านั้นให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยีหรือสื่อออนไลน์มาช่วยเพื่อให้งานวิชาการเหล่านั้นบำบัดความกระหายใคร่รู้ได้จริง ไม่ใช่เพียงผลิตออกมาแช่แข็งไว้ในระบบหรือชั้นหนังสือของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังอาจจัดเสวนาเผยแพร่หรือเปิดอบรมความรู้ประชาธิปไตย เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีโอกาสได้เข้ามารับฟังและถกสนทนาทั้งในส่วนของทฤษฎีและกรณีศึกษาตามแต่โอกาสและวาระไป

ผลของการให้การศึกษา ความเข้าใจ และค่านิยมเกี่ยวกับประชาธิปไตยแก่นักศึกษาข้างต้นย่อมเปรียบประหนึ่งการรินรดน้ำแก่พืชพันธุ์ที่ยืนต้นแตกกิ่งก้านด้วยรากแห่งประชาธิปไตย ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงไทยให้เป็นสังคมที่มีค่านิยมและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยมากขึ้น พวกเขาจะร่วมกับประชาชนในการทำหน้าที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการและสนใจปัญหาสังคมมากกว่าแค่มาเรียน เต้น เล่น รำ แล้วได้กระดาษปริญญากลับไปเพียงแผ่นเดียว

ดินแดนเพื่อเสรีภาพและเสมอภาคทุกตารางนิ้ว?

บทบาทในการส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตยข้างต้นจำเป็นต้องกระทำให้เกิดขึ้นพร้อมกันกับการสร้างเสริมเสรีภาพและความเสมอภาคในรั้วมหาวิทยาลัย กล่าวคือ ประการแรกมหาวิทยาลัยต้องส่งเสริมเสรีภาพทางวิชาการอย่างเต็มที่แก่คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ทางวิชาการ และนิสิตนักศึกษาในการผลิตงานวิชาการ เพราะเสรีภาพที่ถูกจำกัดย่อมส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมปากไม่สามารถพูดหรือเขียนถึงประชาธิปไตยในประเทศนี้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันกลับเป็นที่น่าเศร้าใจเพราะเสรีภาพทางวิชาการของมหาวิทยาลัยไทยกำลังถดถอยไปในลักษณะดังกล่าว โดยหากพิจารณาผลการจัดอันดับของเสรีภาพทางวิชาการ ประจำปี 2020 โดย Global Public Policy Institute (GPPi) ของเยอรมนี พบว่าไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเสรีภาพทางวิชาการน้อยที่สุด โดยมีค่าชี้วัดเสรีภาพทางวิชาการอยู่ที่ 0.130 จากคะแนนเต็ม 1.0 จึงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยต้องทบทวนเพื่อหาทางออกอย่างเร่งด่วน เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยทางวิชาการให้เกิดขึ้น

ประการต่อมาคือการส่งเสริมเสรีภาพแห่งการดำเนินชีวิตแก่นิสิตนักศึกษา เช่น นิสิตนักศึกษาพึงได้เลือกสวมใส่เสื้อผ้าหรือไว้ทรงผมตามที่ตนต้องการ ตราบเท่าที่เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นข้อจำกัดของการเรียนหรือการลงมือปฏิบัติ ขณะเดียวกันกิจกรรมที่ทั้งตกทอดกันมาจนเป็นประเพณีหรือที่เพิ่งกำหนดขึ้นใหม่ มหาวิทยาลัยก็พึงให้เสรีภาพในการเลือกที่จะเข้าร่วมหรือมิเข้าร่วมตามแต่ความสมัครใจ ไม่ควรแสดงอำนาจนิยมถมบังคับ หักคะแนน หรือป่าวประณามนิสิตนักศึกษาที่ไม่เข้าร่วม เพราะบทบาทที่อนุรักษ์นิยมเช่นนั้นเป็นขั้วขัดแย้งกับวิถีแห่งประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ในทางกลับกันหากให้เสรีภาพแก่นิสิตนักศึกษาดังกล่าวย่อมเป็นการฝึกฝนให้พวกเขาได้คิดเองเป็น ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งของพลเมืองประชาธิปไตย ขณะเดียวกันเสรีภาพดังกล่าวก็อาจเป็นต้นแบบแห่งบรรทัดฐานของความเป็นประชาธิปไตยที่สังคมไทยโดยรวมสามารถยึดปฏิบัติตามได้

ภาพ: เชียงใหม่นิวส์

ประการสุดท้ายมหาวิทยาลัยพึงเป็นดินแดนแห่งความเสมอภาคเพื่อทั้งทลายวัฒนธรรมความเหลื่อมล้ำ ระบบอุปถัมภ์ และสลายสิ้นซึ่งวิถีแห่งเผด็จการอำนาจนิยม เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเสี้ยนหนามที่ทิ่มตำสังคมไม่ให้ก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้ความเสมอภาคข้างต้นไม่ควรส่งเสริมแบบฉาบฉวยหรือเลือกเอาตามใจชอบ หากทว่าพึงส่งเสริมให้ครอบคลุมในทุกมิติอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ตั้งแต่เรื่องฐานะ อายุ หน้าตาและอื่น ๆ เฉพาะเรื่องอายุซึ่งฉายแสดงผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ระบบโซตัส” นับว่าเป็นปัญหาเรื้อรังที่ปรากฏในรั้วมหาวิทยาลัยมาอย่างยาวนาน กระทั่งปัจจุบันยังคงปรากฏข่าวคราวรุ่นพี่ข่มขู่บังคับรุ่นน้องจนนำไปสู่เหตุการณ์เลือกตกยางออกหรือเสียชีวิต หรือในประเด็นของการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งหน้าตาก็ฝังรากแตกร่างแหอยู่ในหลาย

มหาวิทยาลัยมาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะกิจกรรม “การประกวดดาวเดือน” ซึ่งผลิตซ้ำการสร้างตัวแบบของหน้าตาที่ประเสริฐกับการขีดกรอบความเป็นอื่นที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสในบางประการได้ เช่นนี้เองมหาวิทยาลัยจึงพึงกำหนดกติกาที่เป็นธรรมและเสมอภาคแก่นิสิตนักศึกษาทุกคนโดยไม่เอื้ออำนาจหรืออภิสิทธิ์แก่นิสิตนักศึกษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจนล้นเกินควบคุม แน่นอนที่สุดว่าผลของการส่งเสริมให้ “คนเท่ากัน” เช่นนี้ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของการค่อย ๆ ทลายค่านิยมอุปถัมภ์และระบบคลั่งบูชาศักดินา เป็นการเตรียมพร้อมประชากรคุณภาพที่ให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สู่สังคมไทย

ต่อต้านเผด็จการอำนาจนิยม ยืนหยัดธำรงหลักนิติธรรม

ประวัติศาสตร์วันวานจารึกและเอ่ยเอื้อนเสมอมาว่านิสิตนักศึกษาไทยคือพละกำลังเมืองที่ก้าวออกมาหยัดยืนเคียงข้างมวลมหาประชาชนต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะห้วงสมัยซึ่งเผด็จการอำนาจนิยมกดข่มและผงาดขึ้นปกครองสังคม ดังจะเห็นว่าเมื่อปี ค.ศ. 1957 นิสิตนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ร่วมกันก่อขบวนขึ้นประท้วงการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยสารพัดกลโกง หรือขบวนการนิสิตนักศึกษาในปี ค.ศ. 1973 ซึ่งต่อสู้กับเผด็จการอำนาจนิยมจนนำมาสู่บรรยากาศของความประชาธิปไตยมากขึ้น บทบาทของขบวนการประชาธิปไตยของนิสิตนักศึกษาเช่นนี้ย่อมมิได้เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยหรือเพราะคึกคะนองแน่นอน หากทว่าเป็นบทบาทที่เกิดขึ้นจากการหนุนเสริมของหลากหลายปัจจัย ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือการมีสำนึกในความเป็นประชาธิปไตยเช่นที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ส่วนอีกปัจจัยซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย ทั้งในรูปแบบของการเอื้อให้ใช้พื้นที่ การอำนวยความสะดวกเรื่องอุปกรณ์ ไปจนถึงการแสดงจุดยืนที่เคียงข้างขบวนการประชาธิปไตย

นอกจากการเคียงข้างขบวนการประชาธิปไตยแล้ว การต่อต้านอำนาจเผด็จการยังควรหวนทวนไปให้ความสำคัญกับต้นน้ำของกระบวนการประชาธิปไตย ประการแรกคือคณะผู้บริหารและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยซึ่งดำรงฐานะผู้นำทางปัญญาของสังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงตนต่อต้านระบอบซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็เนื่องด้วยที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งอยู่ภายใต้เงาของสถาบันการศึกษามักถูกช่วงชิงให้กลายเป็นกำลังหนุนเสริมความชอบธรรมแก่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารอยู่หลายครั้งหลายครา ดังจะเห็นได้ว่าภายหลังการรัฐประหารปี ค.ศ. 2014 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ลากดึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มานั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นั่นเพราะเผด็จการอำนาจนิยมเล็งเห็นว่าความชอบธรรมในการกำหนดกฎกติกาของตนยังจำเป็นต้องอาศัยตัวแทนจากสถาบันการศึกษา เช่นนั้นเองหากคณาจารย์ร่วมวงสังฆกรรมในกระบวนการทางอำนาจของรัฐบาลเผด็จการ คณาจารย์เหล่านั้นก็ย่อมสนับสนุนให้เผด็จการอำนาจนิยมเบียดขับประชาธิปไตยไปโดยปริยาย

ภาพ: WASAWAT LUKHARANG/BBC THAI

และอีกประการที่ควรกล่าวถึงคือการยืนหยัดให้คงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม อันเป็นหลักซึ่งประกอบด้วยเจ็ดหลักย่อยสำคัญได้แก่ 1) การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 2) การแบ่งแยกอำนาจ 3) ความชอบธรรมด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง 4) ความชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา 5) ความเป็นอิสระของศาล 6) หลักไม่มีความผิด ไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย และ 7) ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งห้วงสองสามปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของคณาจารย์ในแขนงทางด้านสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่จะต้องถกค้านหรือแสดงออกซี่งการชี้แนะแก่สังคมให้ประจักษ์ว่าการใช้อำนาจใดที่กำลังทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทำลายความชอบด้วยกฎหมายทั้งทางเนื้อหาและเทคนิค จะด้วยการออกแถลงการณ์ร่วมหรือจะด้วยการแสดงทัศนะของตนผ่านสื่อต่าง ๆ ก็สุดแล้วแต่จะกระทำ แต่การนิ่งเฉย ในลักษณะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ค้ำชูให้ระบบที่ละเมิดหลักการประชาธิปไตยดำรงอยู่

บทสรุป

โดยเนื้อแท้ของความเป็นมหาวิทยาลัยจึงมีภาระและบทบาทที่พ้นเกินไปกว่าการจัดการเรียนการสอน เนื่องด้วยในประเทศที่ประกาศตนว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยย่อมต้องอาศัยสถาบันการศึกษาในการผลิตวิชาความรู้เพื่อบำบัดความกระหายเกี่ยวกับประชาธิปไตยแก่ประชาชน มหาวิทยาลัยจึงพึงปรับตัวเองให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนมิใช่แรงเสียดทานต้านการพัฒนาสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย แรงขับเช่นว่าจำเป็นต้องสร้างให้เกิดขึ้นทั้งภายในรั้วมหาวิทยาลัยและส่งทอดไปสู่สังคมภายนอกด้วย กล่าวคือมหาวิทยาลัยต้องแสดงบทบาทของการผลิตบัณฑิตที่มีสำนึกความเป็นประชาธิปไตยและตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ป้อนสู่สังคม ขณะเดียวกันในฐานะสถาบันที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดความรู้ซึ่งเป็นอำนาจที่มีผลต่อการโน้มนำสังคมย่อมต้องใส่ใจในการร่วมสร้างพลเมืองประชาธิปไตย การเอื้ออำนวยแก่ขบวนการประชาธิปไตย และการต่อต้านทุกระบบที่บ่อนเซาะทำลายประชาธิปไตย

อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเฉพาะห้วงหนึ่งทศวรรษให้หลังมานี้คลื่นกระแสทุนนิยมและเผด็จการอำนาจนิยมโถมซัดใส่มหาวิทยาลัยจนม้วนกลืนไปกับคลื่นเหล่านั้น หรือบางครั้งก็เป็นมหาวิทยาลัยเองที่กระโจนใส่คลื่นนั้นอย่างตื่นใจ เช่น การรุกไล่ที่ค้าขายของประชาชนหรือเปลี่ยนสถานที่ซึ่งข้องเกี่ยวกับศรัทธาของคนในชุมชนเป็นห้างร้าน สะท้อนว่าบทบาทในการหนุนเสริมประชาธิปไตยและรับใช้ประชาชนดังเช่นที่ปรากฏในคำขวัญของหลายมหาวิทยาลัยเลือนรางและกลายเป็นเพียงคำฝันที่ไม่ต่างจากคำโฆษณาบนฉลากสินค้า คำถามใหญ่ที่มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนิสิตนักศึกษาจำเป็นต้องตอบและมองทางออกให้ได้ในเร็ววันคือจะส่งเสริมประชาธิปไตยและรับใช้ประชาชนให้ยั่งยืนได้อย่างไร


ข้อมูลอ้างอิง

ภีรภัทร ด้านธีระภากุล. หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลกับสังคมประชาธิปไตย.

ลิขิต ธีรเควิน. (2559). ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษ 21: ทางตันทางออกและแนวทางแก้ไข. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.



บทความนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Activist Journalist ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) และสำนักข่าวลานเน้อ (LANNER News Media) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Citizen Accountability for Local governance Media (CALM)

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง