กราฟิก: วิมพ์วิภา กันทะจันทร์, ขวัญชนก ชุมกาศ /Youth Teller
การฝังยาคุม คือ วิธีการคุมกำเนิดชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย และ ใช้มานานถึง 40 ปี ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ชั่วคราวได้ 3 – 5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา ขั้นตอนไม่ยุ่งยากและป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในเวลานาน แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ แบบ 6 หลอด ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปี จำนวน 2 หลอด ใช้คุมกำเนิดนาน 3 – 5 ปี แบบ 1 หลอด ใช้คุมกำเนิดนาน 3 ปี
ผู้ต้องการฝังยาคุมจะสามารถฝังได้ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน และหลังคลอด 4-6 สัปดาห์ หรื หลังแท้งบุตรธรรมชาติทันที หรือ 2 – 3 สัปดาห์
โดยการทำงานของการฝังยาคุมคือ ในหลอดยาจะบรรจุฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสตินเอาไว้ โดยตัวฮอร์โมนโปรเจสตินจะค่อย ๆ ซึมจากแท่งเข้าสู่กระแสเลือด และไปกดการทำงานของไฮโปทาลามัสที่ต่อมใต้สมองจะทำให้ยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ไม่เกิดการตกไข่ และฮอร์โมนโปรเจสตินยังไปช่วยให้เมือกที่ปากมดลูกเหนียวขึ้น เยื่อบุผนังมดลูก ทำให้ไม่ตั้งครรภ์
การฝังยาคุมกำเนิดนั้นเหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป สะดวก ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อยๆ และผู้ที่มีบุตรแล้วไม่ประสงค์จะมีบุตรอีกในอนาคต
ข้อดีของการฝังยาคุม
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก ประมาณ 1/200 คน ที่เกิดอัตราล้มเหลว
- เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี
- มีอาการข้างเคียงน้อย
- สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตรหรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- หลังจากถอดออกจะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด 90% ตกไข่ใน 1 เดือน
- ยาฝังคุมกำเนิดยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ลดภาวะประจำเดือนมามาก
ข้อพึงระวังของการฝังยาคุม
- ผู้เข้ารับการฝังยาคุมบางรายอาจจะมีประจำเดือนที่ไม่ปกติ
- อาจมีอาการระคายเคือง มีอาการปวด บวม แดง มีอาการคันในบริเวณที่ฝังยาคุม แต่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับจนหายไปเอง
- เป็นสิว หรืออาจจะมีปัญหาสิวรุนแรง
- มีการวิงเวียนศีรษะ คัดเต้านม หรือมีอารมณ์แปรปรวนได้
- มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
งานชิ้นนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Youth Teller ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) และสำนักข่าวลานเน้อ (LANNER News Media) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Citizen Accountability for Local governance Media (CALM)
ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ