งานชิ้นนี้ถอดความและเรียบเรียงมาจากรายการ “Breath Talk” Podcast ตอนแรกที่ผลิตโดยสื่อประชาธรรมร่วมกับสภาลมหายใจเชียงใหม่ โดยได้สัมภาษณ์ ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในช่วงก่อนสิ้นสุดฤดูกาลฝุ่นควันของจ.เชียงใหม่ โดยในปีนี้อาจกล่าวได้ว่าการเผชิญปัญหาฝุ่นควันของคนเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือถือว่าน้อยมากเนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างมีความชุ่มชื้น อันเนื่องจากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากลานีญา (ปีน้ำมาก) ไปสู่เอลนีโญ (ปีแห้งแล้ง) อย่างไรก็ตามก็มีหลายคนมีความเห็นว่าเป็นผลจากนโยบาย Zero Burning ของรัฐบาล แต่จะด้วยเหตุผลใดนั้น สิ่งที่ทำให้เราได้เห็นจากปรากฏการณ์นี้คือทำให้เราเห็นว่าสังคมยังคงมองปัญหาฝุ่นควันที่เป็นปัญหาที่มุ่งเพียงแก้ไขด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญ แต่ยังขาดบริบททางสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับแก้ไขปัญหาฝุ่นควันด้วย และการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันซึ่งจะเวียนกลับมาอีกครั้งในปีหน้า เฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกเผชิญกับความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ปีที่น้ำมากก็จะท่วมฉับพลัน ปีที่แล้งเราก็จะเผชิญกับอุณหภูมิโลกที่สูงกว่าปกติ เป็นต้น ชวนอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ที่ ศ.ดร.ปิ่นแก้วได้เพิ่มเติมและขยายมุมมองทางสังคมศาสตร์ที่น่าสนใจ

แก้ปัญหานี้อย่างไรที่จะไม่วนเวียนแค่ปัญหาตามสถานการณ์ หรือตามฤดูกาล แต่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนอย่างไรได้บ้าง

เราต้องพูดอย่างนี้ว่าเราอยู่กับฝุ่นควันมานานเกินทศวรรษแล้ว ก็เราพบกับสิ่งที่เรียกว่ามาตรการในการจัดการปัญหาที่มันค่อนข้างวนลูปต่อเนื่องมาเหมือนเดิม แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่าปัญหาฝุ่นควันในเชียงใหม่ต่างไปจากปัญหาฝุ่นควันในในพื้นที่ภาคกลาง เพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด มากกว่าจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ เชียงใหม่มีพื้นที่ป่ามากกว่า 9 ล้านไร่ ซึ่งก็แสดงว่ามันก็เป็นลักษณะทางภูมิประเทศที่ต่างไปจากพื้นที่ในภาคกลาง เพราะฉะนั้นฝุ่นควันจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่มีสัดส่วนเยอะที่สุดนั้นมาจากไฟป่า และส่วนหนึ่งควันก็อาจจะมาจากภาคเกษตร แล้วก็อีกจำนวนหนึ่งมาจากฝุ่นข้ามแดนซึ่งมาเป็นระลอก โดยเราจะเห็นว่าบางช่วงจุด Hot Spot เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างสูงเป็นต้น แต่จุดสำคัญฝุ่นควันในกรุงเทพนั้นมาจากการคมนาคมที่ต่างจากพื้นที่ภาคเหนือ

เมื่อหันกลับมาดูมาตรการที่ผ่านมาของรัฐบาล ของจังหวัดเชียงใหม่ที่พยายามจะแก้ไขปัญหาโดยวนอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า “การห้ามเผา” 60 วันห้ามเผาบ้าง 50 วันห้ามเผาบ้างติดกันมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว และอีกวิธีหนึ่งที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ก็คือการไปฉีดน้ำที่ท่าแพ ทำให้มันมีละอองความชุ่มชื้น ซึ่งเราเห็นมันไม่แก้ปัญหาฝุ่นควันที่แท้จริง

การจะแก้ปัญหาเราคงต้องกลับมาดูว่าสาเหตุไฟป่าที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร และใครเป็นผู้จุดเบื้องหน้าเบื้องหลังของการจุดไฟคืออะไร และการวิเคราะห์ปัญหาในเชิงโครงสร้าง แต่เราก็มักจะได้ยินวิธีการพูดอยู่ไม่กี่แบบ เช่น เรื่องของชายชุดดำ ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แอบไปจุดเหมือนกับคนเหล่านี้เป็นพวกไม่มีตัวตน แล้วก็ไปจุดเอาเอาสนุกหรือเอาม่วน กับอีกอันหนึ่งก็คือว่าชาวบ้านหาของป่า เราก็จะได้ยินเท่านั้น แล้วก็มาตรการก็คือไปตามจับ ที่บอกว่ามันไม่ได้ผลก็เพราะว่าเรามีชุมชนซึ่งอยู่ในเขตป่าเป็นสองพันกว่าชุมชนในจังหวัดเชียงใหม่ เราจะเอาแหไปเหวี่ยงใส่ป่ามันเป็นไปไม่ได้ ในฐานะที่เป็นนักสังคมศาสตร์คิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจว่าเหตุใดสถานการณ์แบบนี้ถึงเกิดขึ้น จากการเก็บข้อมูลมาดิฉันคิดว่าไม่ได้เป็นข้อมูลลับลึกลับอะไร มีคนตั้งคำถามอยู่ว่าผู้ที่ใช้ไฟรายใหญ่จริง ๆ ในภาคเหนือคือใคร จริง ๆ แล้วไม่ใช่ชุมชนไม่ใช่ชาวบ้าน แต่คือป่าไม้ เพราะปีที่แล้วทางจังหวัดเชียงใหม่เริ่มต้นในการนำระบบบริหารจัดการเชื้อเพลิงมาใช้ ที่สามารถตอบคำถามได้ว่าเขาจะขออนุญาตเผาได้ และปรากฏว่าจำนวนสถิติคนที่ขออนุญาตเผากลับเป็นหน่วยงานราชการกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ การที่เราจะโทษชาวบ้านอย่างเดียวนั้นจึงไม่ได้

จากข้อมูลภาพนี้ จะสรุปได้ว่ามากกว่า 70% ของชุมชนในจังหวัดเชียงใหม่นั้นอยู่ร่วมกับป่า กล่าวคือเชียงใหม่มีชุมชนทั้งหมด 2,887 ชุมชน แบ่งออกเป็นเขตชุมชนที่ไม่มีพื้นที่สัมพันธ์กับเขตป่าตามกฏหมายคิดเป็นสัดส่วน 29.7% ของชุมชนทั้งหมดของ จ.เชียงใหม่ ชุมชนที่มีพื้นที่สัมพันธ์กับเขตป่าตามกฎหมายคิดเป็นสัดส่วน 71.3% โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ ชุมชนที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในเขตป่าตามกฎหมายสัดส่วน 26.6% และชุมชนที่มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตป่าตามกฎหมายสัดส่วน 43.7%

แนวทางการแก้ไขปัญหาที่กำลังมีการนำเสนออยู่ตอนนี้คือ แนวทาง Zero Burning กับ Fire Management อาจารย์คิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหมอกควันเชียงใหม่ได้หรือไม่อย่างไร

คำสั่งห้ามเผาเป็นคำสั่งแบบ Top Down มาจากรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย คิดว่าเป็นคำสั่งที่ห้ามไปแต่ลมปาก แต่มันไม่มีผลต่อการห้ามไม่ให้เกิดไฟป่าได้เลย ผลสะท้อนย้อนกลับที่เกิดขึ้นเราจะเจอคือไฟที่ควบคุมไม่ได้และสร้างความเสียหายมากขึ้น จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ใน 3 พื้นที่คือบ้านปง อ.หางดง บ้านแม่หอพระ อ.แม่แตง และบ้านยางเปียง อ.อมก๋อย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเก็บเห็ดจำนวนมาก ชาวบ้านพูดถึงปัญหาไฟป่าที่มองคนละมุมกับรัฐ โดยเขามองว่าสาเหตุของการเกิดไฟป่าในแต่ละพื้นที่มาจาก “ความขัดแย้ง” ซึ่งไม่ใช่แค่ชาวบ้านพูด เจ้าหน้าที่ป่าไม้บางคนก็พูดถึงข้อมูลนี้ โดยบอกว่าที่ไหนมีความขัดแย้ง ไม่สามารถจัดการความขัดแย้งได้ ไฟป่าจะเข้าทุกปี มีบางจุดกลายเป็นพื้นที่ระบายความแค้น เป็นต้น เพราะฉะนั้นปัญหาไฟป่าเป็นปัญหาละเอียดอ่อน คุณยิ่งห้ามสั่งห้ามมันคือการเอาอำนาจไปกดหัวชาวบ้าน เพราะเขาทำมาหากินกับป่า ดำรงชีพอยู่กับในพื้นที่ป่า แทนที่มันจะเป็นการจุดชิงเผาเพียงจุดเดียว แต่กลับทำให้เกิดไฟทั่วทุกที่ ทุกหัวระแหง และจะเกิดในพื้นที่ป่าสูงชัน และป่าหินที่ไม่ควรจะมีไฟไหม้ เพราะเข้าถึงยากดับยาก เราจะเห็นไฟที่ลำพูนก่อนหน้านี้ ที่ไฟไหม้เป็นทางยาวท่าเข้าไปดับยากมาก ไฟทำนองนี้คนตั้งใจจุดให้เข้าไปดับยาก ถ้าไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ ไม่คลี่คลายความขัดแย้งก็จะแก้ปัญหาฝุ่นควันยาก เช่นที่อ.เชียงดาวก็จะเห็นว่าไหม้ทุกปี และหนักมาก ค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 500 และ 600

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือเจ้าหน้าที่รัฐลงไปในพื้นที่ ตรวจจับ และใช้อำนาจ พูดจาไม่ดีใส่ เป็นต้น แต่ความขัดแย้งนี่มีตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านด้วยกันเอง บางหมู่บ้านได้งบได้รับการเชิดหน้าชูตาว่าจัดการไฟป่าดี หมู่บ้านข้าง ๆ ทั้งที่จัดการไฟป่าเหมือนกัน อาจจะไม่ได้งบหรือได้งบล่าช้าได้งบน้อย มันก็เกิดไฟอิจฉา ก็จุดไฟเผานะคะ บางที่เป็นเรื่องการขัดผลประโยชน์ ซึ่งมีความซับซ้อนมาก อาจจะไม่ใช่แค่ชาวบ้าน แต่เป็นผู้ประกอบการหรือไม่ ที่ต้องการที่จะทำรีสอร์ท หรือต้องการที่จะทำอะไรแล้วก็ไปขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ มหาดไทยไม่ควรทำงานเพียงแค่การออกคำสั่ง แต่จะต้องออกมาจากห้องแอร์มารับรู้ปัญหาที่แท้จริง

อาจารย์มองว่าปัญหานี้จะมีทางออกอย่างไรที่จะสร้างการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งประชาชนที่ห่วงใยสุขภาพ กับประชาชนที่ต้องพึ่งพิงป่า และภาครัฐควรมีแนวทางอย่างไรในการแก้ไขปัญหานี้

ดิฉันคิดว่าปีที่แล้ว จ.เชียงใหม่ ภายใต้การผลักดันของสภาลมหายใจเชียงใหม่ ที่ร่วมกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการผลักดันเรื่องระบบ FireD หรือการบริหารจัดการเชื้อเพลิงถือเป็นข้อริเริ่มที่ดีแม้ว่าจะมีปัญหาอยู่มาก แต่มันเป็นความพยายามในการเอาไฟที่ควบคุมไม่ได้มาเข้าระบบก่อน ซึ่งจะต้องมีการยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าชุมชนที่อยู่ในเขตป่า หน่วยงานของรัฐ ป่าไม้ มีการชิงเผามาก่อน แล้วเราจะต้องแยกการใช้ไฟออกจากการเผาเสียก่อน ถ้าหากเราไม่แยกก็จะเป็นการเหมารวม มองไม่เห็นความเป็นจริงว่าการใช้ไฟมีการจัดระบบอย่างไร มีการกำหนดกฎกติกา มีการกำหนดพื้นที่ว่าเราจะชิงเผาตรงไหน ทำแนวกันไฟตรงไหน ในกระบวนการมีการรอให้ใบไม้แห้งจนพอสมควรแล้วก็เผาจบภายในวันเดียว ไม่มีการลามไปยังพื้นที่ด้านข้าง เป็นต้น และที่สำคัญในการบริหารจัดการจะต้องดูสภาพอากาศ การระบายอากาศด้วยซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายคือนักภูมิศาสตร์ นักป่าไม้ในพื้นที่ ที่สำคัญคือความร่วมมือของชุมชน

ความจริงมาตรการการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของจังหวัดเชียงใหม่ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่อาจจะเป็นปัญหา หลายพื้นที่อาจต้องยอมรับความมือใหม่ในการริเริ่มทดลอง แต่การชิงเผาโดยหน่วยงานราชการป่าไม้ถือว่าทำกันมานานมาก จากการสัมภาษณ์หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหลายแห่งก็พูดชัดเจนว่าป่าเต็งรังนั้นไม่เผาไม่ได้ เพราะใบไม้สะสมเป็นจำนวนมาก การที่หลายท่านบอกว่าไม่ต้องเผา ปล่อยให้ย่อยสลายเองนั้น มาดูที่นักวนศาสตร์ศึกษากันมาจะพบว่ามันจะเปลี่ยนระบบนิเวศไปเป็นป่าชนิดอื่น คือเป็นป่าที่ไม่ผลัดใบ ก็จะทำให้ความหลากหลายของระบบนิเวศลดลง

จากการไปสัมภาษณ์ชาวบ้านในหลายพื้นที่ที่เขาขออนุญาตจุดไฟในพื้นที่ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณนั้นสอดคล้องกับหลักวิชาวนศาสตร์ที่เขาใช้การชิงเผาเพื่อที่จะบริหารจัดการป่า จากการอ่านวิจัยคนที่สนับสนุนการชิงเผาไม่ใช่นักสังคมศาสตร์ แต่เป็นนักวนศาสตร์ เขาทดลองชิงเผาในป่าหลายพื้นที่มาก ดอยอินทนนท์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ป่าภาคใต้ ภาคกลางก็มีการชิงเผาเช่นกัน โดยมีการระบุว่ารอบที่เหมาะสมคืออย่างน้อยต้อง 2 ปีต้องมีการจัดการเพื่อที่จะให้ลูกไม้ในพื้นที่ป่าสามารถเติบโตได้ เป็นต้น มีนักวิชาการที่ทำงานวิจัยเรื่องการชิงเผาออกมาจำนวนมากก็ต้องไปอ่านและศึกษากัน

ทุกวันนี้สังคมยังมีความรู้ความเข้าใจคนกับป่าน้อยมาก การจับชาวบ้านและโทษว่าการจุดไฟในป่ามาจากชาวบ้านหาของป่า แต่กลับไม่มีคำถามที่มากกว่านั้น เช่นจริงหรือไม่ที่ชาวบ้านจุดไฟเผาป่า และเหตุใดชาวบ้านต้องพึ่งพิงป่า จากการศึกษาวิจัยและสัมภาษณ์ชาวบ้านที่เป็นหมู่บ้านที่ต้องพึ่งพิงป่าใน 3 พื้นที่จะเห็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งคือวิถีชีวิตของชุมชนที่อยู่ในเขตป่ามีความเปราะบางสูงเพิ่มขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะภาคเกษตรไม่สามารถเป็นคำตอบให้กับชุมชนได้ บางหมู่บ้านแทบจะไม่ได้ปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงข้าวที่ราคาตกมาก ปลูกพริก ปลูกมะเขือก็ไม่สามารถทำเป็นอาชีพได้ อาชีพหาของป่าเป็นทางเลือก ทางออกเศรษฐกิจของชุมชน เวลาเข้าไปหาเห็ด ก็มีความจำเป็นต้องใช้ไฟ เพราะพื้นที่มันรกมากและอาจจะมีงู เป็นต้น หรือบางพื้นที่ เช่นพื้นที่อมก๋อยเขาก็ต้องเลี้ยงวัวในป่า เก็บหาของป่า เห็ด ไข่มดแดง และผักหวานป่า เป็นต้น ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ ชุมชนยิ่งต้องกลับไปพึ่งพิงป่า ฉะนั้นเวลาพูดว่าปัญหาไฟป่ามาจากการเผามันจึงเป็นการอธิบายแบบปักป้ายโดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมไทยที่ไม่สามารถโอบอุ้มชุมชนเกษตรกรรมได้ เศรษฐกิจเขาล้มเหลว เขาก็ต้องพึ่งพาป่ามากขึ้น ถ้าคุณอยากให้ชุมชนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน ไม่อยากให้ชุมชนเข้าไปเก็บหาของป่า หรือลดสเกลลง คุณก็ต้องทำให้ภาคเกษตรกรรมมันพึ่งพาได้ด้วย สนับสนุนหรือลงทุนการสร้างตลาดทางเลือกที่ชาวบ้านจะสามารถพึ่งพาภาคเกษตรกรรมได้มากกว่าที่เป็นอยู่

อาจารย์มีข้อเสนอและมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาไฟป่าฝุ่นควันอย่างยั่งยืนของเมืองเชียงใหม่อย่างไร

ระยะสั้นต้องเอาไฟเข้าระบบ คือเราสู้กับไฟที่ปราศจากการควบคุมแบบนี้มานานหลายปีแล้ว แล้วเราไปตามไล่ดับไฟ ดิฉันเห็นว่าหน่วยงานทั้งที่เป็นจิตอาสา และชาวบ้านเอง ก็บอกดิฉันว่าปีหน้ามันเหนื่อยแน่ ๆ เพราะมันจะเกิดไฟที่ไม่ได้มีการจัดการ การกระจายของไฟที่ไม่ได้ควบคุมจะเยอะมาก การนำไฟเข้าระบบเรามาถูกทางแล้ว ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลจึงยกเลิกแนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เราจำเป็นต้องแก้ปัญหาจากการบริหารจัดการเชื้อเพลิงหลากหลายที่มันเป็นปัญหาจากปีที่แล้ว ไม่ใช่การดูแค่จุด Hot Spot ควรจะยกเลิกวิธีการแบบนี้ไป เพราะการเกิดไฟที่ไม่ได้ควบคุมทั่วหัวระแหงมันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าการไม่เอาไฟเข้าระบบมันสร้างปัญหามากกว่า


รับฟัง Breath Talk Podcast EP.1 Breath Talk EP 1 – ฝุ่นไฟเชียงใหม่ วนอยู่ในแอ่ง จะแก้ยังไง?

ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง