ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลได้ขานรับการแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นควันใน 2 เรื่องใหญ่ คือ การที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขมลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 สำหรับปี 2568-2570 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 และคณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ครอบคลุม 10 หมวดสำคัญ ได้แก่ การกำหนดสิทธิในอากาศสะอาด การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ และการจัดการมลพิษจากแหล่งกำเนิดทั้ง 7 ภาคส่วน ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตรกรรม เมือง มลพิษข้ามแดน และแหล่งกำเนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และกองทุนอากาศสะอาดเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน
ขณะนี้กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์รัฐสภา และจะมีเวทีสาธารณะที่เชียงใหม่ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ณ สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568 หากผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อย

ลิงค์สำหรับแสดงความคิดเห็น: https://www.parliament.go.th/view/297/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99/TH-TH


ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ระดับนโยบายได้ขานรับการแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นควันใน 2 เรื่องใหญ่คือ 1.คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขมลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 ปี 2568-2570 และระยะ 5 ปีต่อไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และ 2.ขณะนี้คณะกรรมาธิการของได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ… เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 และจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th เป็นระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568

ปัญหาฝุ่นควันเป็นปัญหาเรื้อรังมานานหลายสิบปี เมื่อมีการขานรับทางนโยบายก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามการมีแผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน หรือร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดพ.ศ… ออกมาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจะหมดไป  เพราะจริง ๆ ช่วงเวลาเช่นนี้สิ่งที่ประชาชนยิ่งต้องให้ความใส่ใจมากขึ้นคือ “เนื้อใน” ของนโยบาย และกฎหมายที่จะมาบังคับใช้ด้วยว่าจะสอดคล้อง และตรงกับปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ จังหวะนี้การมีส่วนร่วมของ ส.ส. นักการเมือง  ภาคประชาชน ประชาสังคม สื่อมวลชนจึงนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก

มีอะไรในแผนปฏิบัติการฝุ่นฯ 5 ปี?

สาระสำคัญของเรื่องแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขมลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 ปี 2568-2570  และระยะ 5 ปีต่อไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยภายหลังจากที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2567 หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามแผน จึงได้ดำเนินการถอดบทเรียนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง โดยการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่าง ๆ ใน 4 พื้นที่หลัก ได้แก่ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง เพื่อรวบรวมความคิดเห็นเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละอองฉบับที่ 2 รวมทั้งได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 และผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชาการแทนนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568

 สาระสำคัญของแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 ซึ่งสรุปโดยกรมประชาสัมพันธ์ แผนฯ ดังกล่าวให้ความสำคัญกับการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด โดยใช้เครื่องมือและกลไกต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี กฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการจูงใจ มาตรการทางเศรษฐศาสตร์และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งพื้นที่เมือง พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และการจัดการมลพิษข้ามแดน โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ด้านวิสัยทัศน์ คุณภาพอากาศดี ด้วยการร่วมมือของทุกภาคส่วน เป้าหมายคือ ค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM2.5 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พื้นที่เผาไหม้ (Burnt scar) ลดลง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี กรอบแนวคิด การบริหารจัดการคุณภาพอากาศมีประสิทธิภาพ สามารถปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาคุณภาพอากาศของประเทศ โดยจะมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่เมือง พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร และหมอกควันข้ามแดนโดยการบูรณาการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ มาตรการและแนวทางการดำเนินงาน แยกตามแหล่งกำเนิดหลักที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองด้วยการพัฒนาเครื่องมือ กลไก เทคโนโลยี กฎหมาย กฎระเบียบมาตรการจูงใจ มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชน ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย ประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้ 1. มาตรการในพื้นที่เมือง ประกอบด้วย 3 ภาคส่วน เช่น

– ภาคคมนาคม เร่งรัดการจัดหารถโดยสารมลพิษต่ำหรือรถโดยสารไฟฟ้ามาทดแทนรถโดยสารที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปให้เป็นไปตามเป้าหมายและครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในเขตเมืองโดยเร็ว กำหนดให้มีพื้นที่ควบคุมพิเศษ (Low Emission Zone) และบังคับใช้มาตรการและกฎหมายควบคุมควันดำอย่างเข้มงวด

– ภาคอุตสาหกรรม นำข้อมูลจากระบบการรายงานการระบายมลพิษอากาศผ่านระบบ Online ของโรงงานอุตสาหกรรมมาใช้เพื่อการบริหารจัดการปัญหามลพิษอากาศ และเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ กำหนดการบริหารจัดการการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการระบายมลพิษทางอากาศสูง หรือหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อลดปัญหาในช่วงวิกฤติฝุ่น

– ภาคเมือง ส่งเสริมสนับสนุนให้นำพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาดมาใช้กับอาคารและสิ่งปลูกสร้าง และควบคุมฝุ่นละอองจากการก่อสร้างประเภทต่าง ๆ

2. มาตรการในพื้นที่ป่า มุ่งเน้นการบริหารจัดการปัญหาการเผาในพื้นที่ไฟไหม้ซ้ำซากทั้งพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชุมชน โดยจัดให้มีระบบเฝ้าระวังป้องกันการเกิดไฟ การจัดทำแนวกันไฟ การบริหารจัดการเชื้อเพลิง กำหนดกฎ ระเบียบ กติกา การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และสร้างความร่วมมือในการป้องกันรักษาป่า

3. มาตรการในพื้นที่เกษตรกรรม มุ่งเน้นการบริหารจัดการปัญหาการเผาและแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศสำหรับพื้นที่เกษตรกรรมโดยต้องมีฐานข้อมูลในระดับพื้นที่ การป้องกันและแก้ไขปัญหาตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่การกำหนด พื้นที่ทำการเกษตรที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างการผลิต การจัดการแปลงและการเก็บเกี่ยวโดยไม่มีการเผา การจัดการวัสดุทางการเกษตร การพัฒนามาตรฐาน และการส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรที่ปลอดจากการเผา

4. มาตรการภาคมลพิษข้ามแดน มุ่งเน้นการใช้มาตรการการประสานความร่วมมือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจาระหว่างประเทศ การพิจารณาควบคุมการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์และสินค้า และกำหนดความรับผิดของผู้ก่อซึ่งก่อให้เกิดหรือร่วมก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศข้ามแดน

5. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เป็นมาตรการเสริมเพื่อให้การดำเนินการป้องกัน ลด ควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากแหล่งกำเนิดภาคต่าง ๆ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีการสื่อสารและระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายทันต่อสถานการณ์ เพื่อการเฝ้าระวังภาวะมลพิษทางอากาศและผลกระทบจากมลพิษทางการอากาศต่อสุขภาพในช่วงวิกฤตรวมถึงการจัดให้มีระบบการปกป้องสุขภาพของประชาชน ดำเนินมาตรการทั้งในระยะแรก พ.ศ. 2568 – 2570 และระยะ 5 ปีต่อไป เช่น พัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางด้านการบริหารจัดการคุณภาพอากาศที่มีการเฝ้าระวัง ติดตามและรายงานข้อมูลคุณภาพอากาศแหล่งกำเนิด ข้อมูลอัตราป่วยกลุ่มโรค ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน   ภาคสื่อมวลชนในการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือน สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต

ส่วนกลไกและแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง คือ มติคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมด้วยการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำมาตรการและแนวทางการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 ไปสู่การปฏิบัติ โดยใช้กลไก 3 ระดับ ได้แก่ 1.กลไกระดับชาติ : คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการ มอบหมาย ควบคุม กำกับ และติดตามการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.กลไกระดับกลุ่มจังหวัด/แบบข้ามเขต : วิธีการบริหารจัดการตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีลักษณะเฉพาะของสภาพปัญหาความเฉพาะของระบบนิเวศ หรือกลุ่มเฉพาะด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องข้ามพื้นที่หรือข้ามจังหวัด

3.กลไกระดับพื้นที่: ระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หรือคำสั่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเชื่อมโยงนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ อำนวยการสั่งการ และประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

เมื่อดูแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวแล้วในส่วนของภาคประชาสังคมที่ติดตามปัญหาดังกล่าวเช่น สภาลมหายใจเชียงใหม่เห็นว่าแม้จะมีการบรรจุการทำแผนในระดับพื้นที่ มีเรื่องของการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามที่มารับฟังความเห็นที่จ.เชียงใหม่ แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องแนวคิดการมองแบบแยกส่วนและไม่เข้าใจวิถีชีวิตคนกับป่า และประเด็นสำคัญคือคำสั่งการแบบเบ็ดสร็จ (Single Command)  ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือคำสั่งของนายกรัฐมนตรีก็จะเป็นปัญหาเหมือนเช่นปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าจะทำให้ปัญหาฝุ่นควันดีขึ้นจริงหรือไม่ หรือจะแก้ไขข้อขัดแย้งของปัญหาฝุ่นควันได้มากน้อยเพียงไร

เปิดรับฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ – ตอกหมุดการแก้ไขปัญหาระยะยาว

ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดมีการตั้งกรรมาธิการร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอเข้าสภาฯถึง 7 ฉบับ โดยคณะกรรมาธิการฯ กำหนดขั้นตอนการออกกฎหมาย คาดว่าจะประกาศใช้ได้ทันในปี 2568 หากไม่สะดุดในขั้นตอนการพิจารณากฎหมายของรัฐสภามีแนวคิดของทั้ง 7 ร่าง ได้แก่ 1. ฉบับรัฐบาล 2. ฉบับพลังประชารัฐ 3. ฉบับภูมิใจไทย 4. ฉบับเพื่อไทย 5. ฉบับก้าวไกล 6. ฉบับประชาธิปัตย์ และ 7. ฉบับประชาชนที่ภาคประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเสนอ  ทั้งนี้แต่ละฉบับจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แต่สุดท้ายรวมเหลือ 1 ร่างที่ผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. สภาผู้แทนราษฎร  นางสาวคนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธานกรรมาธิการฯ และ นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ กรรมาธิการ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวว่าขณะนี้คณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.จัดการเพื่ออากาศสะอาด ครอบคลุมทั้งหมด 10 หมวด ประกอบด้วยได้แก่ หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 คณะกรรมการและองค์กรเพื่อการบริหารจัดการอากาศสะอาด หมวด 3 เครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด หมวด 4 การป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษ หมวด 5 เขตเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศและเขตประสบมลพิษทางอากาศ  หมวด 6 เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออากาศสะอาด  หมวด 6/1 กองทุนอากาศสะอาด  หมวด 7 (ยุบรวมในหมวด 2) เจ้าพนักงานอากาศสะอาด หมวด 8 ความรับผิดทางแพ่ง  หมวด 9 โทษทางอาญา และ หมวด 10 มาตรการปรับเป็นพินัย โดย กมธ. ได้ตัดหมวด 7 ออก และรวมเนื้อหาไว้ในหมวด 2 เพื่อให้โครงสร้างของกฎหมายมีความกระชับและเหมาะสมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th เป็นระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568

โดยเนื้อหาในการรับฟังความคิดเห็นประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ. สรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. และ ประเด็นคำถาม เพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนถัดไป ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ในทันที แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหญ่ของประเทศไทยต่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในระยะยาว

ภายหลังจากที่รับฟังความคิดเห็นเสร็จแล้ว กรณีที่วุฒิสภาเห็นชอบโดยไม่มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฉบับนี้จะน่าจะขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 68

รายละเอียดย่อ ๆ ของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด พ.ศ… ที่น่าสนใจ เช่น การกำหนดเรื่องสิทธิในอากาศสะอาดตามวรรคหนึ่งเป็นสิทธิที่ทำให้บุคคล ชุมชนและประชาชนดำรงชีวิตด้วยอากาศสะอาดที่ไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่ส่งผลเสียต่อการประกอบอาชีพมาตรา 7 บุคคลประกอบด้วยชุมชนและประชาชนตามมาตรา 6 ที่เป็นกลุ่มเปราะบางต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองในสิทธิในการได้รับที่จะหายใจอากาศสะอาด และสิทธิของบุคคลในการดำรงชีวิตด้วยในอากาศสะอาดที่ไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพและย่อมได้รับการคุ้มครอง เช่นการตรวจสุขภาพ และสิทธิการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมาตรา 9 มีการระบุถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการตัดสินใจเกี่ยวกับอากาศสะอาดทั้งนโยบาย เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ แผน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด

นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึงแหล่งกำเนิดมลพิษที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน และแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ มลพิษจาก 1.ภาคอุตสาหกรรม 2. ภาคคมนาคม 3. ภาคป่าไม้ 4. ภาคเกษตรกรรม 5.ภาคเมือง 6.ภาคมลพิษข้ามแดน 7. ภาคที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอื่น ในแต่ละภาคส่วนกำหนดรายละเอียดในการจัดการแก้ไขปัญหาไว้ด้วย เช่น

มาตรา 39 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศต้องจัดให้มีระบบบำบัดอากาศเสีย อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ หรือการจัดการมลพิษด้วยวิธีการอื่นใด เพื่อควบคุม กำจัด ลด หรือขจัดมลพิษ หรือการปล่อยอากาศเสีย ให้เป็นไปตามมาตรฐานควบคุมการระบายหรือปล่อยทิ้งอากาศเสียจากแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษตั้งแต่ต้นทาง โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน หน่วยงานของรัฐ และคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ต้องควบคุมและส่งเสริมการผลิต ให้เป็นการผลิตที่สะอาดในภาคอุตสาหกรรม

ในส่วนมลพิษข้ามแดน มีการระบุไว้มาตรา 53 ในข้อในกรณีที่ปรากฏว่า การก่อมลพิษทางอากาศข้ามแดนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรง ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการใช้มาตรการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจาระหว่างประเทศ การใช้ความสัมพันธ์ทางการทูต และความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกหรือมีพันธกรณี เพื่อให้มีการบริหารจัดการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศข้ามแดนอย่างเร่งด่วน

ส่วนของภาคป่าไม้ มาตรา 54 ให้คณะกรรมการบริหารจัดการอากาศสะอาดประสานการทำงานกับคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด และคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินการป่าชุมชนเพื่ออากาศสะอาด โดยมีเนื้อหาครอบคลุมการดำเนินการอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ 1.การสร้างเสริมความเข้มแข็งและศักยภาพของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลจัดการป่าชุมชน การจัดทาระบบการป้องกันไฟ 2.การสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ชุมชน และภาคเอกชนในการดูแลรักษาป่าชุมชนและการฟื้นฟูระบบนิเวศป่า 3.การสนับสนุนการจัดตั้งป่าชุมชน และการจัดทำแผนจัดการป่าชุมชนที่ขอขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยป่าชุมชนโดยมีความเชื่อมโยงกับการดำเนินงานเพื่ออากาศสะอาด

และยังมีอีกหลายมาตราที่พูดถึงการแก้ปัญหาแต่ละภาคส่วนโดยละเอียดที่ภาคประชาชนจะต้องมีการทำการบ้านต่อไปเพื่อให้ร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการสะอาดออกมาสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด

นอกจากนี้ในร่าง พ.ร.บ.ยังมีการออกแบบกลไกการบริหารจัดการทั้งคณะกรรมการระดับชาติที่ประกอบด้วยหลายภาคส่วน โดยมีคณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาด ที่ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ

รองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการโดยตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีจากกระทรวงต่าง ๆ และแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีตัวแทนจากหลายภาคส่วนได้แก่ 1.จากสถาบันอุดมศึกษา สภาวิชาชีพ จำนวนไม่เกิน 4 คน 2.จากสถาบันวิจัยหรือองค์กรวิจัย จำนวนไม่เกิน 3 คน 3.ผู้ที่มาจากองค์กรภาคประชาสังคมที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่าสามปีในด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการเพื่ออากาศสะอาด หรือสุขภาพจำนวนไม่เกิน 4 คน 3.ผู้ที่มาจากเครือข่ายหรือองค์กรร่วมของภาคธุรกิจเอกชนที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่าสามปีในด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการเพื่ออากาศสะอาด หรือสุขภาพ จำนวนไม่เกิน 2 คน และ 4. ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์หรือผลงานเป็นที่ประจักษ์ จำนวนไม่เกินสองคน

ที่น่าสนใจคือมีคณะกรรมการระดับพื้นที่ และยังมีข้อหนึ่งที่พูดถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นโดยฉบับที่ผ่านคณะกรรมาธิการได้ระบุว่าอำนาจในระดับพื้นที่ คณะกรรมการระดับจังหวัดจะให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นประธาน โดยตัดส่วนอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดออกไป เป็นต้น

โดยในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้ กมธ.จะมีเวทีรับฟังความคิดเห็นทางวิชาการสาธารณะครั้งที่ที่เชียงใหม่ ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหากท่านใจที่ต้องการแสดงความเห็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดสามารถเข้าไปแสดงความเห็นได้อีกช่องทางหนึ่งที่ www.parliament.go.th

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง