เมื่อวันที่ 3-4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยสภาลมหายใจเชียงใหม่ ร่วมกับมูลนิธิสื่อประชาธรรม และสถานีวิทยุเสียงสื่อสารมวลชน FM 100 ได้จัดอบรมแกนนำนักสื่อสาร โครงการ “สร้าง Speaker ผู้นำชุมชนสู้ฝุ่นไฟ” ขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพด้านการสื่อสารให้กับผู้นำชุมชนทั้งในเขตเมืองและพื้นที่รอบนอกจังหวัดเชียงใหม่

โครงการนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงบทบาทสำคัญของชุมชนท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน ในช่วงที่ผ่านมา ชุมชนต่างๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำจากภาคป่าไม้ที่ร่วมกันเตรียมความพร้อมก่อนฤดูฝุ่นควันจะมาถึง ผ่านการทำแนวกันไฟและการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเพื่อลดจำนวนเชื้อเพลิงที่อาจเป็นสาเหตุให้ไฟป่าลุกลาม หรือชุมชนในเขตเมืองที่มีการสร้างพื้นที่สีเขียว การนำใบไม้มาทำปุ๋ยเพื่อลดการเผาในเขตเมือง หรือการผลักดันระบบขนส่งสาธารณะของเมืองเชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของชุมชนเหล่านี้ยังขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้คนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจ ได้เข้าใจและเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน การ “สื่อสาร” โดยผู้นำชุมชนเองจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถสะท้อนความต้องการของตนเองไปสู่สังคม และร่วมกันผลักดันนโยบายสาธารณะที่ตอบสนองต่อปัญหาจริง

ผู้เข้าร่วมการอบรมครั้งนี้มาจากหลากหลายพื้นที่และมีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมกันคือต้องการที่จะเป็นเสียงของชุมชนในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันของเมือง ผู้เข้าร่วมหลายคนแสดงความต้องการที่จะเป็น “ตัวกลาง” ในการเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หนึ่งในผู้เข้าร่วมสะท้อนความคาดหวังว่าอยากจะ “เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อคนในเมืองกับคนในป่า ไม่ให้ใครเป็นจำเลยของสังคม” สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีตราและการขาดความเข้าใจระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน

ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่โดดเด่น ผู้นำชุมชนหลายคนรู้สึกว่าหมู่บ้านของตนเองมักตกเป็น “จำเลยสังคม” ในปัญหาฝุ่นควัน พวกเขาต้องการสื่อสารในมุมมองใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านของตนเป็นหมู่บ้านที่รักษาป่า ไม่ใช่ทำลายป่า การเปลี่ยนแปลงการรับรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความร่วมมือและความเข้าใจที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมที่มองการอบรมนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะการสื่อสารเฉพาะทาง เช่น การเป็นดีเจ การผลิตสื่อ และการเป็นตัวกลางในการประสานงานกับภาครัฐ แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการใช้เทคโนโลยีและสื่อสมัยใหม่ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

การอบรมในครั้งนี้จะได้เรียนรู้ พื้นฐานเบื้องต้นในการสื่อสารด้วยการ “พูด” การเป็นนักถ่ายทอดเรื่องราวด้วย “เสียง” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในการใช้สื่อเสียงได้แก่ ธีรภาพ  เป็งจันทร์ สุณิสา เมืองแก้ว และชาลิณีย์ ธรรมโม จากสถานีเสียงสื่อสารมวลชน FM 100 คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เนื้อหาได้เริ่มต้นด้วยการชวนสร้างความเข้าใจในกระบวนการสื่อความหมาย โดยเน้นย้ำว่าทุกคนมีพื้นฐานในการสื่อสารกันอยู่แล้ว และการอบรมนี้เป็นการเติมสิ่งที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ หัวใจสำคัญของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือการเข้าใจว่าการพูดเป็นเครื่องมือแรกในการสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งเริ่มต้นจากท่าทาง อวจนภาษา และการใช้ถ้อยคำน้ำเสียงเพื่อสื่อสารอารมณ์และความรู้สึก การอบรมได้เน้นหลักการสำคัญของการสื่อสารที่ต้องตรงประเด็น ให้ข้อมูลเท่าที่จำเป็น มีความสอดคล้อง ใช้ภาษาที่ชัดเจน กะทัดรัด และไม่กำกวม

การพูดจะมีประสิทธิภาพได้นั้นต้องมีปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ การพูดอย่างชัดเจนตามวัตถุประสงค์ของผู้พูด การมีความรู้ในเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี การรู้จักกลุ่มผู้รับสารว่ามีเพศ วัย การศึกษา และความสนใจในเรื่องใด ผู้พูดต้องมีบุคลิกที่น่าเลื่อมใส และรู้จักสร้างบรรยากาศในการพูดให้เป็นกันเอง การเตรียมการพูดที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและการเข้าใจกระบวนการฟัง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การฟัง ความสนใจ ความตั้งใจ การตีความ และปฏิกิริยา หลักในการพูดที่ได้เน้นย้ำคือ “ต้องรู้เรา ต้องรู้เขา ต้องรู้วิธีพูด”

“เปิดให้ปัง รั้งให้อยู่ จบให้เคลียร์” สูตรท่องจำแล้วนำไปใช้เล่าเรื่อง

เนื้อหาในครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ Storytelling ในการสื่อสาร โดยอธิบายว่าเรื่องเล่าทุกเรื่องในโลกล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ Theme หรือแก่นของเรื่องคือสิ่งที่ผู้เล่าต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆ  ได้ เป็นการส่งความคิดและทัศนะของผู้สื่อสารไปสู่ผู้รับสาร โครงสร้างในการเล่าเรื่องที่ดีต้องมีชื่อเรื่องที่ “เปิดให้ปัง รั้งให้อยู่ จบให้เคลียร์” ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นที่ดึงดูดความสนใจ การดำเนินเรื่องที่รักษาความสนใจให้คงอยู่ และการจบที่ชัดเจนและสมบูรณ์

ส่วนหนึ่งของการอบรมได้มุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสื่อสาร โดยเฉพาะพอดแคสต์ที่กำลังเป็นที่นิยมและสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พอดแคสต์มีข้อดีคือเป็นคลังความรู้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับเรื่องของเวลา เป็นคลังข้อมูลที่สามารถฟังได้ตลอด และสามารถอัพเดทเป็นตอนใหม่ ๆ ได้ การสร้างพอดแคสต์ต้องเริ่มจากการเลือกประเด็นและการวางแผนอย่างรอบคอบ ต้องกำหนดตอนก่อนว่าจะเริ่มต้นตอนแรกด้วยอะไร ต่อด้วยอะไร และต้องมีการวางแผนตั้งแต่ต้นไม่ให้ออกนอกทิศทาง

จุดเด่นของการอบรมครั้งนี้คือการให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยการจับคู่กันเขียนสคริปต์รายการพอดแคสต์ขึ้นมา 1 รายการ ตัวอย่างสคริปต์ที่ชุมชนร่วมกันทดลองทำคือรายการ “เข้าใจฝุ่น-ไฟ อยู่ร่วมช่วยกัน” โดยจะแบ่งเป็นตอน ๆ ตามความสนใจที่จะเล่าของแต่ละคู่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อชวนทำความเข้าใจฝุ่นไฟผ่านเรื่องราวของชุมชน

ในวันที่สองของการอบรม ชุมชนได้ทดลองอัดเสียงในห้องอัดเสียงของสถานี FM100 ซึ่งเป็นการนำทฤษฎีสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง การทดลองนี้ไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์ตรงในการใช้เครื่องมือการผลิตสื่อ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำชุมชนในการใช้เสียงของตนเองเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร หลังจากนี้จะมีการเผยแพร่ podcast ของชุมชนให้ทุกคนได้รับฟัง ซึ่งจะเป็นการสร้างตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการที่ชุมชนสามารถผลิตสื่อของตนเองได้ และเป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการสื่อสารกับสังคมในวงกว้าง

ทั้งนี้ การที่ชุมชนสามารถเล่าเรื่องราวของตนเอง อธิบายบทบาทและความพยายามในการแก้ไขปัญหา และสร้างความเข้าใจกับสังคมในวงกว้าง จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความร่วมมือที่แท้จริงในการรับมือกับวิกฤตฝุ่นควันที่เชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงต้องเผชิญทุกปี ท้ายนี้ ชวนติดตามการเล่าเรื่องฝุ่นไฟ โดยชุมชนได้ทางเพจสภาลมหายใจเชียงใหม่ได้เร็ว ๆ นี้.

ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง