ปิดฤดูฝุ่นอย่างเป็นทางการ เราเรียนรู้อะไรตอนที่ 2 มุมมองนักวิศวกรไฟป่า

งานชิ้นนี้ถอดความและเรียบเรียงมาจากรายการ “Breath Talk” Podcast ตอนที่ 2 ที่ผลิตโดยสื่อประชาธรรมร่วมกับสภาลมหายใจเชียงใหม่ โดยได้สัมภาษณ์ ผศ.ดร.วัชรพงษ์ ธัชชยพงษ์ อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในช่วงก่อนสิ้นสุดฤดูกาลฝุ่นควันของจ.เชียงใหม่ โดยในปีนี้อาจกล่าวได้ว่าการเผชิญปัญหาฝุ่นควันของคนเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือถือว่าน้อยมากเนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างมีความชุ่มชื้น อันเนื่องจากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากลานีญา (ปีน้ำมาก) ไปสู่เอลนีโญ (ปีแห้งแล้ง)
อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายคนมีความเห็นว่าเป็นผลจากนโยบาย Zero Burning ของรัฐบาล แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ข้อถกเถียงเรื่องใครเป็นผู้จุดไฟยังคงเป็นข้อถกเถียงมากที่สุดในฤดูฝุ่นควัน และหลายครั้งก็จะเกิดการกล่าวโทษกันไปมา และสิ่งที่เราจะได้ยินบ่อยที่สุดคือเรื่อง “จุดไฟหาของป่า” “จุดไฟหาเห็ด” โดยที่ภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีการใช้ไฟ หรือทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควัน เช่น การชิงเผาในพื้นที่ป่าของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือการที่มียานพาหนะเป็นจำนวนมากในเมืองกลับไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก นำไปสู่การตามล่าหา “ชายชุดดำ” ในทุกฤดูกาล และการตามจับมากกว่าที่เราจะทำความเข้าใจว่าเหตุใดต้องมี “ไฟ” “ไฟ” ทำหน้าที่อะไรบ้าง และผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดที่เกี่ยวกับ “ไฟ” มีใครบ้าง และจะต้องมีการพูดถึงทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม
เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ชวนทำความเข้าใจเรื่อง “การใช้ไฟ” และการควบคุมไฟจาก ผศ.ดร.วัชรพงษ์ ซึ่งเรียกตัวเองว่า “วิศวกรไฟป่า” อาจารย์มีความสนใจที่จะหาข้อพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการลดเชื้อเพลิงด้วยการชิงเผาโดยมีพื้นที่นำร่องในเขตอำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม มีงานศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี 2553 โดยอาจารย์กล่าวว่าที่มาสนใจเรื่องงานไฟป่าเพราะนักวนศาสตร์มีเครื่องมือในการใช้ไฟในการจัดการป่า แต่นักวนศาสตร์จะไม่มีความรู้เรื่องไฟเท่ากับวิศวกร ในต่างประเทศวิศวกรเครื่องกลจะเข้ามาช่วยนักวนศาสตร์ เพราะศาสตร์ของการเผาไหม้ทุกอย่างเป็นศาสตร์ของเครื่องกล
ได้เรียนรู้อะไรจากงานศึกษาวิจัยการชิงเผาที่ อ.จอมทอง
ปีที่ทำการศึกษาวิจัยเชียงใหม่เริ่มมีปัญหาหมอกควันที่ชัดเจนขึ้น และกระแสสังคมตอนนั้นคือทุกคนไม่ต้องการให้มีไฟเลย หากจะว่าไปแล้วกระแสเรื่อง Zero Burning ก็มีมานานเป็น 10 ปีแล้ว และพื้นที่ที่เราไปศึกษาวิจัยเลือกพื้นที่ อ.จอมทอง เพราะชุมชนเองก็มีแนวนโยบาย Zero Burning มาก่อนเช่นกัน เพราะเขาต้องการปกป้องพื้นที่ป่า แต่เขาก็มาเรียนรู้ทีหลังว่าถ้าทำป้องกันไฟไม่ให้เข้าเด็ดขาด เวลาไฟไหม้มา ความเสียหายมันมากมายมหาศาล ผู้นำชุมชนจึงเริ่มแนวทางการ “ชิงเผา” เพื่อลดความรุนแรงของไฟป่า แล้วในช่วงเวลานั้นที่เริ่มต้นทำงานวิจัย ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เขาทำการ Zero Burning เขาก็เจอปัญหาในลักษณะเดียวกันคือพื้นที่ป่าได้รับความเสียหายอย่างมาก เราก็เลยขอเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมมาทำงานวิจัยพื้นที่ อ.จอมทอง ตอนนั้นเราตั้งโจทย์ว่า “ไฟ” มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศจริงหรือไม่ และช่วยป้องกันไฟป่าได้จริงหรือไม่
หลังจากที่เราทำงานวิจัย เราเจอข้อมูลว่าการชิงเผาตามที่หลักวนศาสตร์บอกไว้คือ ถ้าใช้ไฟอย่างถูกวิธีเป็นไปตามนั้นคือมันช่วยลดเชื้อเพลิงโดยเฉพาะในป่าเต็งรังที่มีใบไม้เป็นจำนวนมาก ไฟก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติ นอกจากลดเชื้อเพลิง และยังปรับลักษณะเชื้อเพลิงด้วย คำว่าลักษณะเชื้อเพลิงไม่ใช่ดูแต่น้ำหนักอย่างเดียว แต่จะต้องดูความชื้น หมายถึงความต่อเนื่องแนวราบแนวดิ่ง ต้องดูลักษณะของพืชพันธุ์ในป่า ความสมบูรณ์ของเรือนยอดไม้ในป่า ทั้งหมดจะเป็นตัวกำหนดว่าไฟป่าจะรุนแรงหรือไม่ หรือจะเป็นไฟป่าที่ไหม้ลามผิวดินปกติ สิ่งที่เราพบคือหากไฟที่ไหม้ไม่รุนแรงมันจะเป็นการเร่งการทำงานของจุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน ผลที่ชัดเจนคือต้นไม้ใหญ่จะมีเรือนยอดที่แผ่ออกมา การแผ่ของเรือนยอดทำให้เกิดร่มเงา ความต่อเนื่องของของแนวราบ แนวดิ่งก็จะลดลง ไม้พุ่มตรงที่ได้แสงก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น
นอกจากนี้ไฟในป่าเต็งรังประเทศไทยจะไม่เหมือนในต่างประเทศ ไฟป่าจะไหม้ในต่างประเทศจะเป็นไฟเรือนยอดไหม้ใบไม้ที่เป็นน้ำมัน ไฟพวกนี้ลมจะเข้าไปข้างใต้เยอะมากจนเกิดเปลวไฟสีส้มที่ชาวบ้านเรียกกันว่าไฟแรง แต่ไฟบ้านเราเป็นไฟลามผิวดิน เป็นการเผาไหม้ที่ไม่มีเปลวไฟ หรือเราเรียกว่าไฟร้อนระอุ ความจริงต้องการลมในการทำให้มันเผาไหม้ แต่พอเกิดไฟแบบนี้ถ้าเราปล่อยให้มันระอุไปนาน ๆ ในดินก็จะส่งผลกับต้นไม้ใหญ่ นี่คือสิ่งที่ชาวบ้านไม่ต้องการ เพราะถ้าต้นไม้ใหญ่ถูกทำลายมันจะเกิดความแห้งแล้งตามมา เมื่อเกิดความแห้งแล้ง ไฟป่าก็จะตามมา พอเราเข้าไปทำงานวิจัย สิ่งที่เราเจอคือเมื่อมีการชิงเผาอย่างถูกวิธี มันจะมีความต่อเนื่องในแนวดิ่ง ลมบริเวณนั้นก็จะมี พอมีลม การเผาไหม้ก็จะเป็นไปตามธรรมชาติ นี่คือการชิงเผาแบบถูกวิธีและยังเป็นกลไกลดความรุนแรงโดยธรรมชาติด้วย
วิธีการชิงเผา หรือการบริหารจัดการไฟที่ถูกวิธีคืออะไร และจะดูอย่างไรว่าเหมาะสมกับการชิงเผา
เขาเรียกกันว่าการกำหนดไฟ กำหนดช่วงเวลาการเกิดไฟ ความรุนแรงในการเกิดไฟ และก็รอบของการเกิดไฟ ซึ่งชุดความรู้นี้เป็นชุดความรู้ตามหลักวนศาตร์เลย ที่เรียกว่า “Fire Regime” คือลักษณะของการเกิดไฟ ป่าแต่ละประเภทมีการเกิดไฟที่แตกต่างกัน เช่น ป่าเต็งรังจะเกิดในช่วงมกราคม ในความชื้นขนาดเท่านี้ ความรุนแรงประมาณเท่านี้ หลังจากไฟไหม้มันจะเกิดอะไรขึ้นตามมา มันจะมีวงรอบเท่าไหร่เช่น ทุก 3 ปี 5 ปี แต่ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลที่เราเจออยู่ทุกวันนี้เพราะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โลกร้อนขึ้น แรงมากขึ้น Fire Regime มันเปลี่ยนแปลง การแก้ปัญหาคือการที่เราจะดึง Fire Regime หรือวงรอบของการเกิดไฟตามธรรมชาติกลับมาได้อย่างไร เพื่อให้สมดุลธรรมชาติกลับคืนมา แน่นอนว่าการแก้ปัญหาคงไม่ใช่การไปไล่ดับไฟ เราจะใช้ชุดความรู้แบบไหนในการจัดการไฟ ปรากฏว่าในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรปเขาก็ใช้แนวทางการ “ใช้ไฟ” ชิงเผากันหมด แต่จะต้องมีการควบคุม และย้ำว่าทำอย่างถูกวิธี จะต้องมีนักนิเวศวิทยามาช่วยดู กำหนดว่าจุดไฟแบบไหน ขอบเขตเท่าไหร่ เวลาจะจุดไฟก็ต้องทำแนวกันไฟ ทำแนวเขตที่ชัดเจน มันมีรายละเอียดเยอะมาก ถ้าหากเขาบอกว่าทำการชิงเผาในขอบเขต 100 ไร่ ไม่ได้หมายความว่าจะจุดไฟเผาทั้ง 100 ไร่ เวลาเผาจริงอาจจะแค่ 40 % ผลที่เกิดขึ้นคือตรงนั้นจะมีภูมิคุ้มกันป้องกันไฟป่าได้
ปัญหาไฟป่าของบ้านเราแตกต่างจากต่างประเทศอย่างไร เช่น อเมริกา แคนาดา และยุโรปอย่างไร
ผมว่าทั่วโลกเหมือนกันหมด การแก้ไขปัญหาไฟป่าคือปัญหาที่ Fire Regime วงรอบของการไฟมันเปลี่ยนแปลงไปหมด ทำให้ป่าขาดภูมิคุ้มกันในการป้องกันไฟ เราต้องดึงไฟดีกลับมาให้ได้ บางพื้นที่มีไฟไหม้อยู่ใต้ดินซึ่งน่ากลัวมาก ไฟที่ไม่ดีก็เหมือนคนเกเร ทั้งหมดเราต้องดึงกลับมาเป็นไฟดีให้ได้
ปัญหาไฟป่ามันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมนุษย์เป็นตัวเร่ง แต่ ณ วันนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวเร่งที่สำคัญกว่ามนุษย์ในการทำให้เกิดไฟป่า ถ้ามีคนหนึ่งคนเอาก้านไม้ขีดไปจุด เมื่อ 30 ปีที่แล้วมันอาจจะไม่มีปัญหาเลย แต่ ณ ปัจจุบัน ไม้ขีด 1 ก้านก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เป็นต้น
ไฟไหม้ในพื้นที่ป่า ทำให้ดินผลักน้ำไม่ดูดซึมน้ำ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินถล่มจริงหรือไม่
ไฟป่าทุกวันนี้มันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ปรากฏการณ์ดินถล่มนี้เขาเรียกว่า Rain Bomb มันไม่น่าจะมาจากไฟป่าทำให้ดินถล่ม และไม่ควรจะมาเชื่อมโยงกัน มันควรจะมีการศึกษาวิจัยมากกว่านี้ ความสมดุลของธรรมชาติคือความสมดุลของดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็มีผลทำให้ผิดธรรมชาติไปหมด เช่น น้ำมากกว่าปกติ ลมพัดแรง ซึ่งเกิดการการเสียสมดุลธรรมชาติ ธรรมชาติพยายามจะดึงสมดุลกลับ มันเลยเกิดสิ่งที่เรียกว่า ภัยพิบัติ เป็นต้น
ผมคิดว่าปัญหาที่เราเผชิญมันคือภัยของทุกคน ต้องช่วยกันเราจะแก้ไขได้ แต่ทุกวันนี้พอเกิดภัยพิบัติเกิดขึ้น เราจะกล่าวโทษกัน ผมคิดว่าตรงนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาทางออกที่ยั่งยืนต่อการลดความเสี่ยงของไฟป่า
การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคืออะไร
ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อไฟป่า จริง ๆ ทั่วโลกเขาก็ตื่นตัว และมีแผนรับมือฉุกเฉินกันแล้ว ในส่วนของประเทศไทยก็มี โดยใจความสำคัญของทุกที่เหมือนกันคือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเข้ามาจัดการไฟป่า ในเชียงใหม่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือเราเคยคุยกันเรื่องนี้เมื่อ 15 ปีก่อน และมองเห็นความจำเป็นของการใช้ไฟ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชน ซึ่งเราถือว่าก้าวหน้า และมาไกลมากแล้ว มีทั้งกลไกอะไรต่าง ๆ แล้วแต่กลับย้อนกลับมาสู่ Zero Burning สิ่งที่เป็นปัญหาอาจจะเป็นเพราะพื้นที่ที่เราจัดการจริงจังอาจจะไม่ครอบคลุมกับขนาดของปัญหาไฟป่าภาคเหนือ เรายังมีพื้นที่อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีคนจัดการ เพราะฉะนั้นแผนที่ยั่งยืนคือต้องไปสร้างการมีส่วนร่วมในการเข้าไปจัดการในพื้นที่ที่ไม่มีคนจัดการ และอันดับแรกคือเราต้องทิ้งมายาคติว่า “คน” เป็นสาเหตุของการเกิดไฟป่าเสียก่อน อย่าเพิ่งกล่าวโทษกัน หาทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์จะดีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขารู้สึกว่าเป็นปัญหาของเขา เป็นพื้นที่ที่เขาต้องดูแล และเป็นวิธีการของเขามันจะดีที่สุดในการจัดการ เช่น กรณีของพื้นที่แม่เตี๊ยะใต้ อ.จอมทองที่ไปศึกษามาเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาไฟป่าเป็นเวลา 10 ปี แล้วมองให้ลึกกว่านั้น ในพื้นที่ที่ชาวบ้านดูแลมีทั้งพื้นที่ชิงเผา แล้วก็มีบางส่วนที่ทางชุมชนไปของบทำฝายเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันไฟป่าในพื้นที่บางส่วน ดังนั้นในชุมชนเดียวกันก็อาจจะมีทั้งชิงเผา และ Zero Burning ซึ่งความจริงแล้วการจัดการเป็นเรื่องของการจัดการตามความเหมาะสม เป็นการจัดการแบบผสมผสาน อันนี้สะท้อนถึงงานนโยบายที่จะต้องสอดคล้องกับพื้นที่ด้วย เช่นบางชุมชนเขาก็เลือกอีกวิธีในการบริหารจัดการ เช่น การ “ชิงเก็บ” หมายถึงการนำใบไม้ออกไปขาย ซึ่งอันนี้มันก็แล้วแต่ชุมชน ระดับนโยบายก็ต้องตามข้อมูลในพื้นที่และสนับสนุน ถ้าให้เป็นวิธีการของชุมชนจะดีที่สุด ไม่ทำให้เกิดปัญหา
ตัวอย่างการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของแม่เตี๊ยะใต้ อ.จอมทองจะเป็นการจัดการร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่กับชุมชน เจ้าหน้าที่ก็อาจจะมีวิธีการชิงเผา ต้องมีขั้นตอน ส่วนชุมชนก็มีชุดความรู้ด้วย ซึ่งต้องมาคุยกันว่าจะจัดการอย่างไร เป็นต้น ถ้าแยกกันทำอาจจะไม่ได้
จะขยายแนวทางการมีส่วนร่วมในการบริการจัดการไฟป่าแบบแม่เตี๊ยะใต้ได้อย่างไร
อันดับแรกคือต้องเข้าใจก่อนว่าชุมชนทุกวันนี้ไม่ใช่ชุมชนแบบที่จินตนาการเช่นอยู่กับป่า เก็บหาของป่า แต่หลายชุมชนก็มีความสัมพันธ์กับเมือง ทำงานในเมือง ฉะนั้นโดยธรรมชาติชุมชนแบบเดิมก็ลดลงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมมันก็เป็นงานที่ยาก มีความแตกต่างหลากหลายในแต่ละพื้นที่ ถ้าอยากให้ขยายไปครอบคลุมทั่วพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือการสนับสนุน ปล่อยให้ชุมชนมีอิสระทางความคิด ส่งเสริมแบบให้กำลังใจกัน เราจะมีคนที่ช่วยดับไฟป่า ไม่ใช่พอเขากลับจากช่วยดับไฟป่า กลับมาบ้านเปิดโซเชียลมีคนประณามชาวบ้าน เขาก็ขาดกำลังใจ อาจจะหันหลังกลับไปจุดไฟก็ได้ เราจะหลุดจากปัญหานี้ได้ก็ต้องมีการสื่อสารที่สร้างสรรค์ด้วย แล้วนโยบายภาครัฐก็ต้องมีความสอดคล้องกับพื้นที่มีลักษณะการจัดการแบบผสมผสาน ไม่ใช่เป็นแบบเดียว นโยบายที่ไม่สอดคล้องอันตรายมาก
ความจริงในสหรัฐอเมริกาเขาก็เปลี่ยนจากการจัดการภาครัฐอย่างเดียวมาสู่แนวทางแบบมีส่วนร่วม ภาครัฐต้องขอกำลังสนับสนุนจากชุมชนเพราะปัญหาหนักขึ้น ต่อมาเขาก็ให้ภาคชุมชนเป็นคนนำเลย แล้วเขียนแผนมาภาครัฐจะส่งเงินหรือเครื่องมือเข้าไปช่วย เป็นต้น ถ้าเราไปถึงจุดนี้ได้ ปัญหาของเราก็จะเบาลง.
รับฟัง Breath Talk Podcast EP.2 – ชิงเผาเหมาะสม ลดความเสี่ยงการเกิดไฟป่า

ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ
ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ