เรื่องและภาพ: รัชชา สถิตทรงธรรม
“เราเถียงกันว่าจะเอาหรือไม่เอาเขื่อนแก่งเสือเต้นมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 35 ปี แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกที่สองให้ได้คุยกัน เพราะประเด็นถกเถียงเรื่องเอาหรือไม่เอาเขื่อนต้องจบในปีนี้และตรงนี้ได้แล้ว”
เสียงสะท้อนจากชาวบ้านตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ที่ต้องพยายามบอกให้คนภายนอกได้รับรู้ทุกครั้งที่มีการจุดประเด็นสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้ง ๆ ที่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านตำบลสะเอียบได้เสนอทางออกที่สามารถแก้ปัญหาและบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำยมได้โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนเสมอไป
นับตั้งแต่ปี 2567 ที่มีการจัดงานครบรอบ 35 ปีที่ชาวบ้านตำบลสะเอียบได้ร่วมกันคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลไทยที่ต้องแลกด้วยการสูญเสียระบบนิเวศภายในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นป่าสักทอง พื้นที่การเกษตร และที่อยู่อาศัยรวมแล้วไม่น้อยกว่า 40,625 ไร่ ซึ่งอาจทำให้ชาวบ้านตำบลสะเอียบต้องได้รับผลกระทบทั้งด้านการอยู่อาศัย การประกอบอาชีพ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ด้วยตำบลสะเอียบเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญาแขนงต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น เมื่อปี 2567 ผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปร่วมงานครบรอบ 35 ปี คัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานดังกล่าวคือ พิธีสืบชะตาป่าและการบวชป่า ได้ทำให้ผู้เขียนค้นพบอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ บริเวณพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน มีชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย แล้วผลกระทบทางด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

แม่พร้าว : ชุมชนชาวอ่าข่าที่คุณ (อาจ) ยังไม่เคยเห็น
บ้านแม่พร้าวมีประวัติการก่อตั้งเมื่อปี 2515 โดยชาวอ่าข่าและอิ้วเมี่ยนที่อพยพจากอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เข้ามาตั้งถิ่นฐานจากการมาเป็นแรงงานให้กับสัมปทานป่าไม้ของบริษัท อีสต์ เอเชียติค จำกัด ของอังกฤษ ภายหลังชาวอิ้วเมี่ยนได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านบ่อต้นสักและบ้านบ่อเบี้ย อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาในปัจจุบัน โดยปัจจุบันบ้านแม่พร้าวมีจำนวนประชากร 291 คน 91 ครัวเรือน (ข้อมูลเมื่อปี 2567) โดยวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอ่าข่าบ้านแม่พร้าวยังคงยึดตามจารีตประเพณีดั้งเดิม ประกอบอาชีพเกษตรกรและรับจ้างทั่วไปในช่วงนอกฤดูเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผล

บ้านแม่พร้าวถูกประกาศทับเป็นเขตอุทยานแห่งชาติแม่ยม เมื่อปี 2529 ทำให้ชาวอ่าข่าได้รับผลกระทบจากการถูกจำกัดสิทธิในพื้นที่ทำกินคือ พื้นที่การเกษตรต้องมีการแผ้วถางเพาะปลูกอย่างต่อเนื่องทุกปี มิฉะนั้นจะถูกยึดคืนเป็นพื้นที่ของอุทยานฯ อีกทั้งสภาวะทางเศรษฐกิจจากภายนอกและความจำเป็นที่ต้องหาเลี้ยงชีพยังทำให้ชาวบ้านแม่พร้าวต้องหันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง
“ชาวบ้านรู้ว่าผลกระทบจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นอย่างไร แต่พวกเราไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกเราอาจต้องสูญเสียที่ดินทำกินไป ซึ่งการไม่มีที่ดินทำกินเป็นเรื่องที่พวกเรากังวลมาก เพราะถ้าไม่มีที่ดินเพาะปลูกหรือใช้สอยประโยชน์ แล้วจะให้พวกเราพี่น้องอ่าข่าไปทำมาหากินอะไรแทน”
ชาวบ้านแม่พร้าวผู้ไม่ประสงค์ออกนามท่านหนึ่งได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงผลกระทบจากการสูญเสียที่ดินทำกินต่อไปอีกว่า ยิ่งมีข่าวการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นออกมาเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านยิ่งกังวลเข้าไปอีกเพราะยังไม่มั่นใจว่า ถ้าสร้างเขื่อนแล้วชาวบ้านต้องย้ายไปที่ไหน ย้ายไปแล้วจะประกอบอาชีพดั้งเดิมได้อยู่หรือไม่
“จริง ๆ แล้วบ้านแม่พร้าวเป็นชุมชนที่ขึ้นกับบ้านดอนชัยสักทอง หมู่ที่ 9 ของตำบลสะเอียบ ซึ่งสถานะความเป็นอยู่ของบ้านแม่พร้าวทำให้พี่น้องอ่าข่าถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่า เราเป็นผู้น้อย เป็นผู้ตาม ถ้าเขา (พ่อหลวงบ้านหมู่ 9) ว่ายังไง เราก็ตามนั้น เพราะเราไม่มีอำนาจสั่งการหรือดำเนินการใด ๆ ด้วยตนเองได้”
ชาวบ้านแม่พร้าวท่านเดิมยังเล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า ทุกโครงการของภาครัฐย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากในอนาคตมีการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นขึ้นมาจริง ๆ ชาวบ้านแม่พร้าวเองก็มีสิ่งที่จะได้รับกับสิ่งที่จะต้องเสียไปด้วยเช่นกัน
“การปลูกพืชเชิงเดี่ยวต้องใช้น้ำปริมาณมาก แต่บางปีฝนแล้งจนแม้แต่น้ำกินน้ำใช้ยังต้องออกไปซื้อจากข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงน้ำเพื่อการเกษตรเลยว่าจะพอใช้หรือไม่ ถ้าอนาคตบ้านแม่พร้าวมีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง ซึ่งอาจไม่ต้องเป็นเขื่อนก็ได้ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ฝาย ทำนบ อย่างน้อยก็ทำให้เราสามารถบริหารจัดการน้ำได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าสร้างเขื่อนแล้วต้องใช้พื้นที่ของบ้านแม่พร้าวด้วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม อาชีพการเกษตร และการสูญเสียที่อยู่อาศัยเดิม เพราะผลกระทบจากการต้องย้ายบ้านเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางวัฒนธรรมของพี่น้องอ่าข่าด้วย”
“ย้ายบ้านครั้งหนึ่ง จนลงไปอีกสามปี” ความเชื่อและผลกระทบทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น
จากการสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวอ่าข่าพบว่า เดิมทีชาวอ่าข่ามีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในพื้นที่บริเวณมณฑลหยุนหนาน (ยูนนาน) และทิเบตในประเทศจีนก่อนที่จะเริ่มอพยพเข้ามายังกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
“การอพยพถิ่นฐานของพี่น้องอ่าข่าในอดีตมักมีสาเหตุจาก หนึ่ง เกิดโรคระบาด สอง เกิดภัยธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม น้ำท่วม สาม พื้นที่การเกษตรไม่อุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกไม่ได้ผล และสี่ ภัยสงคราม ซึ่งการอพยพแต่ละครั้งได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพี่น้องอ่าข่าเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น”
อาทู่ ปอแฉ่ ผู้ก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมอ่าข่า จังหวัดเชียงราย ได้พูดถึงการอพยพของชาวอ่าข่าต่อไปอีกว่า ชาวอ่าข่ามีความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมเกี่ยวกับการเลือกพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินอย่างเหมาะสมด้วยการโยนไข่เสี่ยงทายเพื่อทดสอบว่าดินในบริเวณดังกล่าวสามารถใช้เพาะปลูกได้หรือไม่ สภาพดินแข็งแรงมั่นคงและห่างไกลจากความเสี่ยงที่จะเกิดดินถล่มหรือไม่

“พี่น้องอ่าข่ายังมีอีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับเลข 33 ที่มีอยู่ในบทร้องขับกล่อมในงานประเพณีโล้ชิงช้าคือ ถ้าลำน้ำกว้าง 33 วา พื้นที่บริเวณนั้นจะไม่ถูกเลือกให้ใช้สอยประโยชน์ใด ๆ และต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะพี่น้องอ่าข่าถือว่าลำน้ำเปรียบเสมือนถนนของพญานาคหรือพญามังกร หากผู้ใดไปแผ้วถาง เพาะปลูก หรือทำสิ่งปลูกสร้างบนพื้นที่บริเวณนั้นจนผิดธรรมชาติ พญานาคจะไม่พอใจจนออกมาฟาดหัวฟาดหาง พังทลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้น เปรียบดังมวลน้ำมหาศาลที่ไหลพัดผ่านเข้ามา ด้วยเหตุนี้ พี่น้องอ่าข่าดั้งเดิมจะไม่ตั้งถิ่นฐานที่อยู่ติดหรือใกล้กับบริเวณลำน้ำ”
นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยมีการบังคับใช้กฎหมายที่ดินฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองที่ไม่สามารถย้ายถิ่นฐานหรือเลือกทำเลสร้างบ้าน เพาะปลูกต่าง ๆ ได้ตามใจชอบอย่างแต่ก่อน เนื่องจากการจัดสรรที่ดินหลังจากนั้นจะต้องได้รับการรับรองทางกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
“ยิ่งประเทศไทยมีกฎหมายที่พยายามแยกคนออกจากป่า ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.อุทยานฯ หรือ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ หรือแม้แต่การพยายามผลักดัน พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ อย่างที่กำลังเป็นข่าวในตอนนี้ ยิ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องอ่าข่าและชนเผ่าพื้นเมืองอื่น ๆ ต้องอาศัยทำกินตามพื้นที่ที่รัฐจัดสรรไว้ให้เท่านั้น พูดง่าย ๆ คือชาวบ้านไม่มีสิทธิเลือกที่อยู่อาศัยทำกินได้เอง แล้วความเชื่อ ภูมิปัญญา พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานของพี่น้องอ่าข่าจะได้รับผลกระทบจากอำนาจรัฐเหล่านี้อย่างไร ถ้าไม่มีการทำให้ดูก็ไม่มีการสืบต่อ พอไม่มีคนสืบต่อสุดท้ายวิถีและภูมิปัญญาเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป”
“ภาษิตอ่าข่าว่าไว้ ย้ายบ้านครั้งหนึ่งจะทำให้จนลงไปอีกสามปี”
อาทู่อธิบายว่า ไม่ว่าพี่น้องอ่าข่าจะต้องอพยพด้วยสาเหตุใดก็ตาม เริ่มต้นมาก็ต้องสร้างบ้านหลังใหม่ เพาะปลูกผลผลิตใหม่ สมมุติว่าปีนี้เราเลือกพื้นที่ปลูกข้าวที่มีลักษณะไม่ตรงตามความเชื่อดั้งเดิมแล้วปรากฏว่า เพาะปลูกไม่ได้ผล เก็บเกี่ยวไม่ได้ ก็จะทำให้เราไม่มีข้าวไว้กินในปีนี้และปีหน้า
“แล้วปีหน้าเราก็ต้องเลือกพื้นที่ปลูกข้าวใหม่ ถ้าโชคดีเพาะปลูกได้ผล เราก็จะเริ่มมีข้าวไว้กินตั้งแต่ปีที่สามของการย้ายมาอยู่ถิ่นฐานใหม่ เพราะในสองปีแรกเป็นปีที่เราต้องเรียนรู้ ลองผิดลองถูกกับธรรมชาติของพื้นที่ใหม่ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจล้วน ๆ เพราะต้องลงทุนใหม่ซึ่งไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีทุนสำรองไว้รองรับสำหรับการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละครั้ง และยังทำให้การส่งออกผลผลิตขาดช่วง พี่น้องสูญเสียโอกาสที่จะได้ขายของหรือมีรายได้จากช่องทางข้างนอก”
นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว อาทู่ยังพูดถึงผลกระทบทางสังคมอีกด้วยว่า แม้ในปัจจุบันชาวอ่าข่าจะไม่สามารถอพยพถิ่นฐานได้ตามใจชอบแล้ว แต่ในจังหวัดเชียงรายได้มีหลายกรณีที่ชาวอ่าข่าถูกบังคับให้อพยพจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งที่รัฐจัดสรรไว้ให้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่เพาะปลูกไม่ได้ผลอย่างที่กล่าวไป แต่ยังเกิดปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ตามมา เช่น ผู้สูงอายุบางบ้านทำใจไม่ได้ที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดจนถึงกับผูกคอตาย หลายครอบครัวอพยพมาแล้วปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ไม่ได้ มีปัญหากับคนเมือง กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นร่วมกัน หลายครอบครัวไม่สามารถประกอบอาชีพตามถิ่นฐานดั้งเดิมได้ต้องหาทำอาชีพใหม่ เช่น ไปเป็นแรงงานหรือลูกจ้างในเมืองแล้วประสบปัญหาถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ โกงค่าแรง หรือถูกเจ้าถิ่นรังแก ซึ่งผลกระทบทางสังคมถือว่าได้มีส่วนทำให้วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

รัฐจะทำอย่างไร เมื่อการอพยพทำให้วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไม่เหมือนเดิม
จากกรณีชาวอ่าข่าในจังหวัดเชียงรายถูกอพยพถิ่นฐานดังที่อาทู่กล่าวไป การเอาตัวรอดจากผลกระทบทางสังคมจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ชาวบ้านสามารถจัดการได้เพียงลำพัง เพราะยังเป็นหน้าที่ของหน่วยงานหรือองค์กรภาครัฐที่ดูแลเรื่องเหล่านี้ที่จะต้องเข้ามาช่วยจัดการโดยที่ชาวบ้านยังสามารถดำรงชีพตามวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมได้
สุธัตตา สุวรรณกาศ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดแพร่ ได้กล่าวถึงบทบาทของศูนย์ฯ ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชาวอ่าข่าบ้านแม่พร้าวว่า โดยทั่วไปทางศูนย์ฯ จะมีเจ้าหน้าที่เข้าออกหมู่บ้านไปเยี่ยมเยียนถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ประจำของชาวบ้านในแต่ละหลังคาเรือนอย่างสม่ำเสมอ หากชาวบ้านมีข้อติดขัดหรือต้องการความช่วยเหลือด้านใดเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ จะเก็บข้อมูลเพื่อส่งต่อและประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนอกจากบทบาทดังกล่าวแล้ว ทางศูนย์ฯ ยังจัดให้มีการฝึกอาชีพ ฝึกอบรม พาชาวบ้านไปศึกษาดูงาน รวมทั้งการสร้างบ้าน ซ่อมแซมบ้านให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการในหมู่บ้าน และยังมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้านวิถีวัฒนธรรมตามปฏิทินประเพณีกิจกรรม 12 เดือนของชาวอ่าข่าบ้านแม่พร้าวอีกด้วย เช่น การสร้างศูนย์เรียนรู้วิถีชุมชนร่วมกับสำนักส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดแพร่ (กศน.เดิม)

บทบาทดังกล่าวของศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดแพร่ถูกขับเคลื่อนภายใต้สถานการณ์โครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกังวลที่ชาวบ้านแม่พร้าวฝากมากับเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ที่เข้าไปถามไถ่ชีวิตประจำวันในแต่ละครั้ง ซึ่งสุธัตตามองว่ากรณีอพยพถิ่นฐานเป็นสมมติฐานที่อาจเกิดขึ้นได้จากภัยธรรมชาติหรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ
“ในอนาคตการอพยพอาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าชาวบ้านแม่พร้าวจะต้องถูกอพยพด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทางศูนย์ฯ ยังคงยึดเอาบทบาทและหน้าที่ที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือหรือหนุนเสริมตามภารกิจของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งหลัก ๆ จะมีเรื่องการจัดสวัสดิการ การสังคมสงเคราะห์ การพิทักษ์คุ้มครองสิทธิด้านต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าไปส่งเสริมให้เกิดอาชีพรองรับถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่โดยที่ชาวบ้านยังคงมีรายได้ไม่น้อยไปกว่าตอนอยู่ที่เดิม และการขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อนำไปสู่ทางออกที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อคุณภาพชีวิตราษฎรบนพื้นที่สูง”
สุธัตตามองว่าทางออกที่เป็นไปได้ในอนาคตคือการมีเวทีพูดคุยที่มากกว่า 1 เวทีและควรมาจากหลากหลายภาคส่วน โดยประเด็นพูดคุยเรื่องผลกระทบจากการสร้างเขื่อนควรทำให้ชัดเจนว่านอกจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจแล้วยังมีผลกระทบด้านใดอีกบ้างที่จะเกิดขึ้น เช่น ด้านสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรม การศึกษา สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้ที่ได้รับผลกระทบว่า พวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตแบบพึ่งพาตนเองและรักษาวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมต่อไปได้อย่างไร
ต่อให้ไม่ถูกย้าย ชาวบ้านแม่พร้าวก็ต้องได้รับผลกระทบทางอ้อม
อีกหนึ่งความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้นคือ ชาวอ่าข่าบ้านแม่พร้าวไม่ต้องถูกอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม เนื่องจากในแผนที่พื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนพบว่า บ้านแม่พร้าวอาจไม่ได้เป็นพื้นที่รับน้ำโดยตรง แต่ชาวบ้านแม่พร้าวอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมเรื่องการสัญจรและสาธารณูปโภคที่ยังเข้าไม่ถึงหมู่บ้าน
“เส้นทางสัญจรได้รับผลกระทบแน่นอนเพราะเส้นทางเดิมจะกลายเป็นพื้นที่รับน้ำเกือบตลอดทาง ซึ่งความเป็นไปได้หลังจากเกิดกรณีนี้อาจมีสองทาง หนึ่งคือได้รับงบประมาณจากส่วนท้องถิ่นมาตัดถนนใหม่โดยใช้แนวเส้นทางเดิม กับสองคือเส้นทางการสัญจรเข้าออกหมู่บ้านจะถูกเปลี่ยนไปทางบ้านบ่อเบี้ยซึ่งอยู่ฝั่งเชียงม่วน แต่ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดกรณีแบบใด ชาวบ้านแม่พร้าวจะได้รับผลกระทบเรื่องต้นทุนการขนส่งโดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร ต้องเสียเวลาเดินทางมากขึ้น ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องคุณภาพของผลผลิต เพราะผลผลิตบางอย่างเราต้องขนส่งแข่งกับเวลาด้วย”
ชาวบ้านแม่พร้าวผู้ไม่ประสงค์ออกนามยังพูดถึงผลกระทบดังกล่าวอีกว่า หากอนาคตมีเขื่อนแล้วไม่ถูกอพยพ บ้านแม่พร้าวอาจกลายเป็นชุมชนเหนือเขื่อน ซึ่งผู้เขียนได้มองเห็นถึงผลกระทบของการถูกทำให้เป็นชุมชนเหนือเขื่อนจากชุมชนหลายแห่งในอดีต เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ และชุมชนเหล่านี้มักถูกเรียกว่าเป็นชุมชนผู้เสียสละ แต่ในความเสียสละที่ถูกตีตราจากเบื้องหน้าได้ทำให้ชุมชนเหล่านี้ต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้เข้าถึงการพัฒนาต่าง ๆ ด้วยศักยภาพของตัวชุมชนเอง
“ตอนนี้บ้านแม่พร้าวยังคงมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงสาธารณูปโภค เราได้สะพานข้ามแม่น้ำยมแห่งใหม่มาแล้ว แต่ถนนเข้าหมู่บ้านยังไม่ได้เป็นคอนกรีต ไฟฟ้ายังใช้โซลาร์เซลล์เพราะอยู่ในเขตอุทยานฯ ขนาดตอนไม่มีเขื่อนชาวบ้านยังขออุทยานได้ยากขนาดนี้ แล้วถ้าอนาคตมีเขื่อนก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ทั้งถนน ไฟฟ้า และสาธารณูปโภคจำเป็นครบถ้วนทุกความต้องการอย่างที่รัฐเคยบอกไว้หรือเปล่า เพราะยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนี้เป็นอย่างที่เห็นอยู่นี้ ยิ่งทำให้เราไม่มั่นใจในหลายเรื่องที่รัฐพูดกับประชาชนเลย”
“น้ำ” ปัญหาสำคัญที่ชาวอ่าข่าบ้านแม่พร้าวต้องเผชิญทุกปี
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านแม่พร้าวถึงผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ผู้เขียนได้ค้นพบข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านแม่พร้าวประสบปัญหาเรื่องน้ำทั้งด้านเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนจึงได้สอบถามพูดคุยกับ พี เลอเชอะ (อาพี) ผู้นำชุมชนบ้านแม่พร้าว ในฐานะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดอนชัยสักทอง ถึงสถานการณ์น้ำในปัจจุบันของบ้านแม่พร้าวได้ปรากฏว่า เริ่มมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเข้าไปยังหมู่บ้านบ้างแล้ว ตามข้อมูลสรุปผลการศึกษาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามความต้องการของชุมชนในพื้นที่ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ซึ่งบ้านแม่พร้าวมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำรวมทั้งสิ้น 6 แห่ง ดังนี้
ชื่อโครงการ | บ้าน | ตำบล | อำเภอ | ความจุน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) | พื้นที่รับประโยชน์ (ไร่) |
อ่างฯ แม่พร้าวล้องป่าตอง | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | 7.00 | 1,000 |
ฝายวังดิน | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | 0.058 | 500 |
ฝายห้วยโป่งปู่ดิน | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | 0.07 | 300 |
ทำนบโรงเรียนบ้านแม่พร้าว | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | 0.8 | 500 |
อ่างฯ แม่ปุง | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | 10 | 5,000 |
อ่างฯ ห้วยแม่พร้าวตอนบน ** อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล | แม่พร้าว | สะเอียบ | สอง | – | – |
รวม | 17.928 | 7,300 |

อาพีระบุว่า หากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในบ้านแม่พร้าวทั้ง 6 โครงการเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะทำให้ชาวบ้านแม่พร้าวมีน้ำกักเก็บไว้ใช้ตลอดทั้งปีรวมปริมาณอย่างน้อย 17.9 ล้านลูกบาศก์เมตร และพื้นที่รับประโยชน์โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรมรวมแล้ว 7,300 ไร่ ซึ่งมากกว่าพื้นที่บ้านแม่พร้าวที่มีเพียง 480 ไร่
“ถ้าบ้านแม่พร้าวมีแหล่งกักเก็บน้ำครบทั้ง 6 แห่ง แล้วทำให้ชาวบ้านมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปีได้จริง เราก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำ ไม่ต้องกังวลเรื่องเขื่อน เพราะปริมาณน้ำที่ได้จะเป็นตัวชี้วัดที่บอกได้ว่า วิธีการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง มีมากกว่าการสร้างเขื่อน” อาพีกล่าวทิ้งท้าย
หมดเวลาเถียง “จะสร้าง / ไม่สร้างเขื่อน” ด้วยทางเลือกที่มีมากกว่า “เขื่อนแก่งเสือเต้น”

จากแผนที่โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นฉบับนี้จะสังเกตได้ว่า พื้นที่สีส้มคือพื้นที่ที่จะต้องได้รับผลกระทบโดยตรงคือกลายเป็นทะเลสาบเหนือเขื่อนแทน ซึ่งบริเวณนั้นไม่ได้มีแค่พื้นที่ป่าที่จะหายไป แต่ยังมีพื้นที่อยู่อาศัยอีกอย่างน้อย 4 หมู่บ้านที่จะต้องถูกอพยพจากตรงนั้นด้วย ได้แก่
บ้าน | หมู่ที่ | ประชากรทั้งหมด (คน) |
ดอนชัย | 1 | 612 |
แม่เต้น | 5 | 411 |
ดอนแก้ว | 6 | 549 |
ดอนชัยสักทอง | 9 | 818 |
รวม | 2,390 |
ที่มา : กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
จำนวนประชากรรวม 4 หมู่บ้าน 2,390 คนโดยประมาณ คิดเป็นร้อยละ 65.62 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่ตำบลสะเอียบรวม 3,642 คน ซึ่งชาวบ้านตำบลสะเอียบผู้ไม่ประสงค์ออกนามท่านหนึ่งได้พูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังถูกอพยพยังมีเรื่องนิเวศวิทยาประชากรที่อาจทำให้การกระจายตัวของประชากรในพื้นที่ขาดความสมดุลไปอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยทรัพยากรน้ำในถิ่นฐานเดิมเป็นวัตถุดิบผลิตสุราชุมชนและหมูน้ำโจ้ ซึ่งเป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาวบ้านในตำบลสะเอียบ
“ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานจะไม่ใช่แค่เรื่องข้อกังวลว่าที่อยู่ใหม่จะมั่นคงปลอดภัยหรือไม่ แต่ยังมีเรื่องทรัพยากรในพื้นที่ใหม่ด้วยว่าจะสามารถต่อยอดเป็นอาชีพหรือสร้างรายได้จากช่องทางใดได้บ้างหรือไม่ ซึ่งถ้าเราไม่สามารถนำทรัพยากรเหล่านี้ไปต่อยอดให้กับชีวิตใหม่ได้ก็เท่ากับว่าเราจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไป ดังนั้นการมีเขื่อนจะไม่ใช่แค่ต้องใช้งบมหาศาล แต่ยังมีราคาที่ต้องจ่ายคือ 443 ล้านบาทที่ได้จากสุราชุมชนในจังหวัดแพร่จะทำให้รายได้ของประเทศหายไปถึง 1 ใน 3 เลยนะ รัฐต้องการให้เป็นแบบนี้จริงหรือ”
“ถ้าโจทย์สำคัญคือชาวบ้านสะเอียบต้องมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี ทำไมถึงไม่คิดว่าการแก้ปัญหาน้ำมีหลายวิธีที่ไม่ต้องสร้างเขื่อน ซึ่งตลอด 35 ปีที่ผ่านมาพี่น้องตำบลสะเอียบไม่ได้แค่คัดค้าน แต่พวกเรายังช่วยกันเสนอแนะทางออกให้รัฐด้วยว่า ถ้าไม่สร้างเขื่อนแล้วจะจัดการน้ำแบบใดแทน”

จากตอนหนึ่งของเวทีกิจกรรมครบรอบ 35 ปีแห่งการคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ณัฐปคัลภ์ ศรีคำภา นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สะเอียบ ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดค้านโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า จากการพยายามผลักดัน “สะเอียบโมเดล” ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ตำบลสะเอียบที่เกิดจากข้อเสนอแนะโดยชาวบ้านในพื้นที่ร่วมกับภาคประชาสังคมและหน่วยงานรัฐในจังหวัดแพร่ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมาได้มีความคืบหน้าผ่านโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามลำน้ำสาขาย่อยของแม่น้ำยมแทนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ โดยเบื้องต้นได้สำรวจและระบุพื้นที่ที่ต้องการให้สร้างไว้แล้วอย่างน้อย 4 จุดคือ
ชื่อโครงการ | บ้าน | ตำบล | อำเภอ | ความจุน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) | พื้นที่รับประโยชน์ (ไร่) |
อ่างเก็บน้ำห้วยโป่ง | นาฝาย | สะเอียบ | สอง | 0.925 | 400 |
อ่างเก็บน้ำห้วยเป้า | นาหลวง | สะเอียบ | สอง | 2.200 | 1,000 |
อ่างเก็บน้ำห้วยแม่เต้นตอนบน | นาหลวง | สะเอียบ | สอง | 2.109 | 800 |
อ่างเก็บน้ำแม่สะกึ๋น 2 | ดอนแก้ว | สะเอียบ | สอง | 12.500 | 5,000 |
รวม | 17.734 | 7,200 |
โดยความคืบหน้าล่าสุดจากเว็บไซต์โครงการสะเอียบโมเดลได้ระบุว่า กรมชลประทานมีแผนงานขอตั้งงบประมาณก่อสร้างในปี 2569 สำหรับอ่างเก็บน้ำแม่สะกึ๋น 2 และ ปี 2570 สำหรับอ่างเก็บน้ำห้วยเป้า ณัฐปคัลภ์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำทั้ง 4 แห่งแล้วเสร็จจะทำให้หลายหมู่บ้านในตำบลสะเอียบสามารถกักเก็บน้ำได้เองโดยที่ไม่ต้องขอสนับสนุนน้ำจาก อบต. อย่างที่ผ่านมา เช่น บ้านแม่เต้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งเป็นประจำทุกปีจะได้รับการแก้ปัญหาตรงจุดนี้ หรืออ่างเก็บน้ำแม่สะกึ๋นที่มีระบบการส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชผลต่าง ๆ ได้หลากหลายและเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดีกว่าเดิมได้ แต่ผลสำเร็จที่คาดหวังให้เกิดขึ้นไม่ได้จบแค่นั้น
ในขณะที่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะผู้ร่วมเสวนาเวที “35 ปี แก่งเสือเต้น มองไปข้างหน้า การจัดการน้ำในอนาคต” มองว่าสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2567 ไม่ได้ทำให้เราต้องมองเรื่องนี้เฉพาะด้านการแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ต้องชวนทุกคนมองไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่งว่า ต่อจากนี้จะต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตลอดทั้งลุ่มแม่น้ำยมอย่างไร

“เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในลุ่มแม่น้ำยมตลอดทั้งสายไม่ได้มีแค่เรื่องน้ำท่วมสุโขทัย แต่ยังมีเรื่องน้ำขาดแคลนในหลายหมู่บ้านของตำบลสะเอียบ ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำจึงมีหลักการสำคัญคือ การเก็บ ชะลอ ระบาย ของพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ตั้งแต่การเก็บน้ำหรือตัดยอดน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูฝนไปไว้ในส่วนที่เก็บได้ ซึ่งไม่ได้มีแค่เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ แต่ยังรวมถึงสระน้ำหรือบ่อน้ำที่ขุดภายในชุมชนด้วย ซึ่งแนวทางการเก็บน้ำดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำแล้งต่อชาวบ้านในพื้นที่ได้ แต่ยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ทั้งหมด เพราะปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ไม่ได้ไปช่วยลดปริมาณมวลน้ำที่ไหลเข้าท่วมพื้นที่ตอนกลางและตอนล่างได้มากนัก”
“ส่วนหลักการชะลอน้ำ ถ้าโจทย์สำคัญของแม่น้ำยมคือไม่ต้องการให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมสุโขทัยโดยตรง ต้องผันน้ำออกไปทางตะวันออกหรือยมน่านสายเก่า ส่วนหนึ่งผันออกไปเก็บไว้ที่บางระกำ (จ.พิษณุโลก) กับอีกส่วนหนึ่งให้ผันไปไว้ที่ท้ายเขื่อนสิริกิติ์ (จ.อุตรดิตถ์) และทางตะวันตกให้ผันออกมาทางฝั่งเมืองเก่าสุโขทัย”
“ต่อมาที่หลักการระบายน้ำ ปัจจุบันแม่น้ำยม – น่าน มีศักยภาพการระบายน้ำที่ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ดังนั้นต้องเพิ่มแผนพัฒนาศักยภาพการระบายน้ำของแม่น้ำทั้งสองสายจาก 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีให้เพิ่มเป็น 300 – 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีได้อย่างไร ซึ่งถ้าทำได้จะสามารถช่วยสุโขทัยและลุ่มน้ำยมน่านตอนล่างได้มาก แต่สิ่งที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมคือการออกแบบด้านวิศวกรรมและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชน ต้องมีการทำประชาคมและพูดคุยกับชาวบ้านเรื่องมาตรการชดเชยต่าง ๆ”
“กับอีกหนึ่งวิธีที่ควรใช้ร่วมกับหลักการหลักคือ การหน่วงน้ำโดยใช้ทุ่ง ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะเห็นข่าวคันดินแตก ซึ่งการที่คันดินแตกแล้วน้ำแผ่ออกซ้ายขวาคือหลักการเดียวกับการกระจายมวลน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งทั้งหมด แต่ถ้ารัฐจะพิจารณาการหน่วงน้ำเข้าทุ่งเป็นหนึ่งในมาตรการรับมือน้ำท่วมก็ต้องทำให้ชัดเจนไปเลย แล้วรัฐต้องไปพูดคุยกับชาวบ้านที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการหน่วงน้ำเข้าทุ่งอีกว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าจะขอให้ชาวบ้านเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เสร็จก่อนที่น้ำจะมา เพื่อที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว พื้นที่บริเวณนั้นจะได้พร้อมรับน้ำที่จะถูกผันมาทางนี้ได้”
“แต่วิธีการเหล่านี้ยังมีข้อจำกัด เพราะแม่น้ำยมไม่ได้มีพื้นที่ที่เหมาะกับการสร้างเขื่อน เกษตรกรจะรู้และคาดการณ์ล่วงหน้าได้ยากว่าแต่ละปีจะมีปริมาณน้ำเพียงพอที่จะส่งมาให้เพาะปลูกได้หรือไม่ ทำให้รัฐไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาเรื่องนี้กับพี่น้องเกษตรกรได้ ซึ่งต่างจากพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอื่น ๆ ที่สามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่า แต่ละปีจะมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกของเกษตรในพื้นที่นั้น ๆ หรือไม่”
“ถ้ามีข้อจำกัดอย่างนี้ เรายังพอมีวิธีอื่นที่เป็นไปได้อีกหรือไม่ เช่น การปลูกข้าวหรือพืชผลที่มีระยะเวลารอเก็บเกี่ยวไม่นานมาก หรือการผลักดันให้แก้กฎระเบียบการชดเชยหรือเยียวยาเกษตรกรในพื้นที่รับน้ำโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมในช่วงฤดูฝนของแต่ละปีก็ให้ใช้มาตรการชดเชยแบบนี้เป็นมาตรฐานรอไว้เลย ถ้าน้ำไม่มา เกษตรกรเพาะปลูกได้ตามปกติ แต่ถ้าน้ำมาให้ใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำ รัฐก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อน โมเดลนี้จะเหมือนกับการให้รัฐเช่าที่เป็นประจำสำหรับการหน่วงน้ำไปเลย”
จากข้อคิดเห็นของ ผศ.ดร.สิตางศุ์ ที่เสนอทางเลือกและทางออกที่สามของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มแม่น้ำยมดังที่ได้สะท้อนไป ผู้เขียนค้นพบข้อสังเกตว่า ประเด็นที่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ ได้นำเสนอจะเน้นการเสนอทางเลือกและหาทางออกจากการนำวิธีการต่าง ๆ หลายวิธีมาใช้ร่วมกัน และยังเน้นเรื่องระบบและแผนการบริหารจัดการมากกว่าสิ่งปลูกสร้างดังที่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าสิ่งก่อสร้างจะเป็นเขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือฝายชะลอน้ำ ใด ๆ ล้วนไม่ใช่ของวิเศษ เพราะการป้องกันน้ำท่วมหรือน้ำแล้งได้ประสิทธิภาพมากน้อยอย่างไร ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง
อย่าลืมมองในมิติ “นิเวศวิทยาวัฒนธรรม” ให้กับทางเลือกที่สาม

“ถ้าเราเสนอแนวทางการบริหารจัดการน้ำเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรม สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่นที่มีต่อทางเลือกที่สาม และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะชาวบ้านในพื้นที่จะรู้และเข้าใจธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้น ๆ ได้ดีกว่าทุกคน”
“เมื่อชาวบ้านเข้าใจว่าการมองในมิตินิเวศวิทยาวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการหาทางแก้ปัญหาจัดการน้ำเป็นอย่างไร ผมมองว่าจะเกิดความท้าทายจากการเปรียบเทียบวิธีคิดระหว่างรัฐกับประชาชน เพราะปกตินโยบายหรือข้อเสนอต่าง ๆ ที่มาจากรัฐมักจะเกิดจากการที่มีคนในเสนอไอเดียจากการดูข้อมูลในกระดาษหรือหน้าจอซึ่งเป็นข้อมูลด้านเดียวแล้วนำมาทำให้แก่ชาวบ้านโดยที่ไม่ได้ถามชาวบ้านเลยว่าแบบนี้จะตอบโจทย์ความต้องการจริง ๆ ของชาวบ้านหรือไม่ คือคิดแบบท็อปดาวน์ แต่พอเป็นสะเอียบโมเดลหรือทางเลือกอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้เกิดจากการคิดกลับกันคือ เสนอจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน ชาวบ้านในพื้นที่รวมตัวกันเสนอแนะทางออกต่อรัฐ แน่นอนว่าวิธีคิดแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่รัฐจะยอมรับแล้วนำไปใช้ได้ง่าย ๆ”
“ซึ่งผลพลอยได้จากการคิดและเสนอทางออกแบบนิเวศวิทยาวัฒนธรรมคือ เราจะไม่ได้มองจำกัดกรอบแค่เรื่องการแก้ปัญหาและจัดการทรัพยากรน้ำแล้ว แต่เรายังมองไปถึงการเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับเครือข่ายและผู้ที่สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของตำบลสะเอียบ เพราะพี่น้องชาวบ้านสะเอียบต่อสู้เรื่องนี้มาหลายสิบปี ระหว่างทางย่อมเกิดบทเรียนสำคัญหรือค้นพบเทคนิคต่าง ๆ จนเกิดเป็นข้อเสนอหรือทางออกที่เป็นที่ยอมรับจากทุกคน และที่สำคัญคือไม่ได้ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้แต่สะเอียบโมเดลเองได้กำลังพัฒนาแนวคิดและข้อเสนอให้เป็นโมเดลการบริหารจัดการทรัพยากรเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน”

สายัณน์กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบสะเอียบโมเดลจะเริ่มมีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้นในแง่โครงการย่อยและงบประมาณ แต่สิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันติดตามและตรวจสอบอย่างใกล้ชิดคือ พยายามทวงถามเรื่องการดำเนินการทางเอกสารอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นไม่ให้ความคืบหน้างานขาดตอน กับสถานการณ์ทางการเมืองที่แปรผันได้ตลอดเวลามักจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโครงการสำคัญต่าง ๆ เป็นอย่างมาก
บทความนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Activist Journalist รุ่น Eco – Journalism Watch ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Strengthening Transparency in Infrastructure Development through Environmental Reporting in Southeast Asia (STRIDES)
![]() | รัชชา สถิตทรงธรรม (เนย) จาก กทม. สู่ลำปางและแพร่ ฟังเพลงอินดี้ คลั่งไคล้วัฒนธรรมชาติพันธุ์เพราะออกจากเฟรนด์โซนไม่ได้ มีร้านป้ายอดเป็นร้านประจำเพราะอยากเปิดร้านอาหารชาติพันธุ์ |

ประชาธรรมคือองค์กรสื่อทางเลือกที่ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยกลุ่มนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนในเขตภาคเหนือ