ทุกฤดูร้อนเมื่อเจอปัญหาฝุ่นควันก็มักจะได้ยินเรื่องเห็ดถอบเป็นสาเหตุของปัญหาฝุ่นควัน เห็ดถอบถูกผูกโยงไฟป่าปัญหาฝุ่นควันมาตลอด และชาวบ้านมักเป็นจำเลยของเรื่องนี้ สิ่งที่ขาดหายไปในการทำความเข้าใจในเรื่องนี้ คือเสียงของชาวบ้านในพื้นที่ และพบว่ามุมมองที่สังคมมองชาวบ้านก็มองอยู่ 2 แบบเช่นมองว่าหมู่บ้านมีภูมิปัญญา หรือไม่ก็หมู่บ้านที่ทำลายป่าซึ่งยังเป็นการมองที่สุดขั้ว และสร้างปัญหาในความเข้าใจต่อพลวัตของชุมชน

งานวิจัยนี้ที่ดิฉันทำมาจากคำถาม 3 ประการ อันแรกอยากจะรู้ว่าเห็ดถอบเพื่อการยังชีพกลายเป็นการเก็บหาของป่าเพื่อการพาณิชย์ได้อย่างไร สัมพันธ์กับไฟป่าอย่างไร อันที่สองศึกษาคู่ความสัมพันธ์ ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็ย้อนแย้ง ด้านหนึ่งก็ต่อต้านการเผาป่าหาเห็ด แต่พอหน้าเห็ดก็เป็นผู้บริโภคหลักแล้วมีผลกระทบอย่างไรต่อการเก็บเห็ดของชาวบ้าน และสามมาตรการของรัฐในการควบคุมไฟป่ามันส่งผลอย่างไรต่อการจัดการทรัพยากรของชุมชน

พื้นที่การศึกษาคือหมู่บ้านใกล้เมืองที่ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านป่าไม้ บ้านนาป้ากที่แม่หอพระ อ.แม่แตง และพื้นที่บ้านยางเปียง อ.อมก๋อย ถือเป็น 3 อำเภอหลักที่ทำการศึกษาวิจัยโดยทำร่วมกับอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ อ. ณีรนุช แมลงภู่ และมีทีมผู้ช่วยวิจัยจากสภาลมหายใจร่วมด้วย ขณะเดียวกันก็ศึกษาตลาดเห็ดถอบตลาดเจดีย์ สัมภาษณ์พ่อค้า แม่ค้า ร้านอาหารพื้นเมืองในเชียงใหม่ หัวหน้าอุทยาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ องค์กรพัฒนาเอกชน เช่น สภาลมหายใจ

ข้อค้นพบของงานวิจัยมี 4 ประการ ข้อแรกพบว่าวัฒนธรรมการเห็ดถอบในป่าเปลี่ยนการหาเห็ดเพื่อการยังชีพมาสู่เชิงพาณิชย์ มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 2 ปัจจัย ข้อแรกคือความล้มเหลวโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคเกษตร อินฟลูเอนเซอร์มักจะมองการหาเห็ดของป่าที่แยกออกจากปัญหาเชิงโครงสร้าง มีคำถามว่าทำไมมีคนหาเห็ดถอบ หาของป่าที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งเราพบว่าการที่มีคนมาหาเห็ดถอบ ของป่าเพิ่มมากขึ้นมาจากภาคเกษตรกรรมที่ล้มเหลว ไม่สามารถพยุงหรือเป็นหลักประกันให้กับชุมชนในเขตป่าได้อีกต่อไป ดังนั้น วัฒนธรรมการหาเห็ดของป่า ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ข้อที่สองการถูกริดรอนสิทธิที่ดินที่ทำให้ที่ดินเกษตรกรรมลดน้อยลงไม่สามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้

อีกประเด็นการปฏิวัติทางโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพ การคมนาคมขนส่งระหว่างเมืองกับชุมชนในเขตป่า และพัฒนาเชิงโครงสร้างดิจิทัล เชื่อมโยงภูมิทัศน์ด้านการโทรคมนาคมระหว่างป่ากับเมืองให้อยู่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งควบคู่ไปกับการเติบโตของเมืองท่องเที่ยว เช่นเชียงใหม่ ที่ขับเคลื่อนเรื่องเห็ดถอบให้เป็นอัตลักษณ์ประจำภูมิภาค ทำให้เห็ดถอบเดินทางจากป่าสู่โต๊ะอาหารอย่างรวดเร็วด้วย

ข้อค้นพบที่สองการเปลี่ยนแปลงเห็ดถอบในฐานะทรัพยากรธรรมชาติไปสู่สินค้าเชิงพาณิชย์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกระบบทุนนิยม ขณะที่เห็ด และของป่ายังเป็นทรัพยากรกรรมสิทธิแบบมีส่วนร่วม ไม่ได้มีการผูกขาดการเข้าถึง ใครก็สามารถมีสิทธิเข้าไปใช้ได้ เป็นทรัพยากรเฉพาะฤดูกาล ใครก็ไม่สามารถผลิตซ้ำนอกระบบนิเวศป่าเต็งรังได้ และอยู่ในการควบคุมของตลาดท้องถิ่น ราคาและคุณภาพของเห็ด ขณะเดียวกันเห็ดก็เป็นที่ต้องการของตลาดภายนอกมาก มีดีมานด์จากคนภายนอกด้วย แต่คนภายนอกก็ไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าและคุณภาพนี้ได้เหมือนสินค้าในระบบทุนนิยมทั่วไป อันนี้มีความสำคัญคือชุมชน หรือผู้ที่เก็บเห็ดมีอำนาจในการควบคุมทรัพยากรนี้อยู่ และทำให้การเก็บเห็ดมีความหมายเชิงวัฒนธรรมด้วย การหาของป่าเป็นการกระบวนสะสมทุนที่สำคัญมากของชุมชนในเขตป่า เป็นการสะสมทุนที่ทำให้ทุนนิยมในระบบเกษตรกรรมอยู่รอดได้ พยุงภาคเกษตรกรรมไม่ให้ล้มละลาย นี่เป็นประเด็นที่คนในเมืองและภาครัฐไม่เคยพูดถึง

ข้อสามเป็นเรื่องไฟกับการเผาป่า งานวิจัยนี้เราเสนอให้แยกเรื่องไฟกับการเผาออกจากกัน เพราะมันมักจะเหมารวมให้เป็นเรื่องเดียวกัน แล้วก็ปักป้ายว่าชาวบ้านที่หาของป่าเป็นคนเผาป่าเพื่อหาของป่า ความจริงแล้วการเผาป่ากับการใช้ไฟนั้นแตกต่างกัน “การใช้ไฟ” เป็นการลดการเชื้อเพลิงในป่าเต็งรังและมีการควบคุมไม่ให้ลามออกนอกพื้นที่แต่ “การเผาป่า” เป็นการใช้ไฟ เพื่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการกลั่นแกล้ง หรือมีที่มาจากความขัดแย้งหลาย ๆ อย่าง การถูกห้ามไม่ให้ใช้ไฟอาจก่อให้เกิดการเผาป่า ผู้ที่ใช้ไฟในป่าเต็งรัง ไม่ได้มีแต่ชาวบ้าน ผู้ใช้ไฟรายใหญ่ในป่า คือหน่วยงานป่าไม้ ไม่ใช่ชาวบ้าน

ข้อที่สี่ เรื่องมาตรการเรื่องการแก้ปัญหาไฟป่า มีคนศึกษากันมากแต่ก็ยังวนอยู่ในวังวนเดิม ๆ ปัญหาเป็นปัญหาเชิงสถาบัน การรวมศูนย์อำนาจ การสั่งการ หรือแม้แต่การสร้างแนวทางใหม่ในเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิงแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ การกลับไปกลับมาของการแก้ไขปัญหานี้

วัฒนธรรมการหาเห็ด อิสรภาพ และความรื่นรมย์

ไปอ่านงานของนักชีววิทยาเป็นจำนวนมาก เรื่องเห็ด หรือราเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แต่เดิมจัดเป็นพืช ต่อมาถึงยอมรับว่ามีอาณาจักรเฉพาะของมันเอง มีความคล้ายคลึงกับสัตว์มากกว่าพืชเพราะไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้จึงต้องกินอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น เห็ดถอบที่เราพูดถึงนี้มีความน่าสนใจเพราะอาศัยอยู่กับต้นไม้สกุลต่าง ๆ ในป่าเต็งรัง นักวิทยาศาสตร์ก็รู้ดีว่าเห็ดนี้ผลิตซ้ำไม่ได้ และจำเป็นต้องอยู่กับป่าจึงเป็นข้อดี จึงทำให้ป่าเต็งรังอยู่กับผู้คนมาจนทุกวันนี้ งานวิจัยชิ้นนี้พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกกันว่าการพึ่งพากันระหว่างสายพันธุ์ เป็นการพึ่งพาระหว่างสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์กับมนุษย์ ถูกแทรกแซงจากระบบภายนอกอย่างไร การพึ่งพิงนี้เป็นแหล่งพักพิงให้ทั้งป่า เห็ด และคนอยู่รอดด้วยกันได้อย่างไร ทำให้ป่ากับคนอยู่รอดอย่างไร

จากการลงพื้นที่ ไม่ใช่ชาวบ้านอยากไปหาเห็ดเพื่อขายแล้วรวย  อันนี้เป็นวาทกรรมที่พูดกันมากแต่ดิฉันคิดว่ามันตื้นเขิน ละเลยการมองปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่คือชุมชนในเขตป่าเผชิญกับแรงกดดัน ชาวบ้านพึ่งพิงภาคเกษตรน้อยลงเรื่อย ๆ บ้านแม่หอพระเลิกปลูกข้าวมานานหลายปีเพราะไม่มีอนาคต แม่ยางเปียงใต้ ที่ดินในการทำการเกษตรแทบไม่มี ไม่ได้สร้างรายได้หลัก  พึ่งพาปศุสัตว์ เห็ดถอบเป็นอาชีพที่สำคัญมาก บ้านปง นายทุนเข้าไปทำรีสอร์ท ชาวบ้านไม่มีที่ดิน เป็นแรงงานรับจ้างภาคท่องเที่ยว เป็นต้น ดังนั้นภาคเกษตรที่เคยมีความสำคัญก็ลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่การเก็บหาของป่าได้มาพยุงอาชีพของคนในชุมชนไว้

เชียงใหม่เป็นพื้นที่ที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคเหนือร้อยละ 69 มีชุมชนในเขตป่า 2000 กว่าชุมชน มีพื้นที่ป่าเต็งรังมากกกว่าพื้นที่อื่น ๆ ด้วย มีทั้งหมด 1 ล้าน 4 แสนกว่าไร่ อำเภอที่มีป่าเต็งรังมากที่สุดคือ อมก๋อย รองลงมาคือ ฮอด จอมทอง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมอมก๋อยถึงเป็นเมืองหลวงของเห็ดถอบ การที่พื้นที่ป่าเต็งรังมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ การที่ชุมชนกับความล้มเหลวของภาคเกษตร ทำให้เศรษฐกิจในภาคป่า เช่น อมก๋อยเลี้ยงวัวในป่า ตอนที่ไปสัมภาษณ์ชาวบ้าน ชาวบ้านเข้าป่าทั้งปี มีเห็ดตลอดทั้งปี ทางวิชาการมองว่าการเก็บหาของป่าเป็นอาชีพดั้งเดิม มาก่อนเกษตรกรรรม แต่จากการที่เราลงพื้นที่พบว่าชาวบ้านกลับไปหาของป่า มันสะท้อนว่าระบบทุนนิยมภายนอก ที่เรามองว่ามีรายได้มากกว่าไม่มีความมั่นคงได้ ขณะที่เศรษฐกิจในอดีตที่ไม่ยั่งยืนกลับมาเป็นทางเลือก ความเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจอาจจะต้องทบทวนใหม่ เราไม่สามารถมองแบบเดิมได้

สิ่งที่อยากชี้ประเด็นถัดไปคือเห็ดไม่ใช่เรื่องรายได้ แต่อยากจะมองในมิติวัฒนธรรม ความรื่นรมย์ และความอิสระของชีวิตในเขตป่า สัมภาษณ์ชาวบ้านหลายคน ต้นฤดูฝนจะเป็นฤดูที่ชาวบ้านรอคอย ถ้าปีไหนร้อนมากแล้วตามมาด้วยฝน จะเป็นปีที่เห็ดถอบออกมาก เช่น ในปี 2567 เป็นปีทองของเห็ด เพราะชาวบ้านนั้นจะประเมินเรื่องการออกของเห็ดจากสภาพภูมิอากาศ

การไปหาเห็ดถอบเป็นสิ่งที่รื่นรมย์เหมือนการไปเที่ยวป่า ได้คุยกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน เราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไร สิ่งที่เราทำความเข้าเรื่องนี้ คือเรื่องของอิสรภาพของการดำรงชีวิต คนที่ไปเก็บเห็ด ขาข้างหนึ่งก็เหยียบอยู่บนโลกของทุนนิยม การเก็บหาของป่าเป็นการที่ชาวบ้านหนีออกจากกฎระเบียบ การถูกขูดรีด และกดทับ หนีออกจากพื้นที่ที่ชาวบ้านไม่มีอำนาจต่อรอง งานประจำที่เขาไม่สามารถกำหนดได้ การเก็บเห็ดไม่ใช่งาน แต่ให้ความสุขมากกกว่างานประจำที่ทำอยู่ ชาวบ้านแม่ยางเปียงมีความสุขในพื้นที่ป่าที่ดูแลรักษา เขาเอาวัวไปปล่อย และเก็บหาของป่า แม่อุ๊ยทำไมยังไปเก็บเห็ดอยู่ เพราะการเข้าป่าเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขารู้ถึงศักยภาพที่ตัวเองยังมี และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้คนไว้

พื้นที่เล็ก ๆ แห่งอิสรภาพนี้ เป็นไปได้ด้วยปัจจัยอย่างน้อย 2 ประการ ประการแรกเห็ดและของป่ายังเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนร่วมยังไม่มีการสวมสิทธิ์แบบเอกชน เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำให้เป็นของเอกชน และทำให้คนนอกเข้าไปหาเห็ดได้จะสร้างปัญหาแน่นอน และประการที่สองการที่ตลาดค้าเห็ดยังไม่ได้ถูกผูกขาดโดยพ่อค้าคนกลางและผู้ซื้อ การกำหนดราคายังคงอยู่ในอำนาจของเครือข่ายระดับท้องถิ่น การปฏิวัติออนไลน์ทำให้คนที่เก็บเห็ดและค้าเห็ดสามารถเข้าถึงตลาดกลาง และราคา ทำให้การดำรงชีพหาของป่าเป็นหลักประกันให้กับชุมชน ที่ภาคเกษตรกรรมไม่เคยให้ได้

จากป่าสู่โต๊ะอาหาร

เห็ดถอบเป็นส่วนหนึ่งของการกินป่องปี ป่องเดือน หรือการกินเป็นสิริมงคลของชีวิต แต่เดิมเห็ดถอบกินกันในครอบครัว หรือขายในราคาที่ไม่แพงมาก ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก การคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงเมืองกับหมู่บ้านในเขตป่า การเปลี่ยนแปลงด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีข่าวสาร เราจึงพบเพจที่ขายของป่าเป็นร้อย ๆ เพจ ผู้เก็บเห็ดกลายเป็นพ่อค้า แม่ค้าคนกลาง จากพื้นที่ป่าสู่พื้นที่ออนไลน์ ทำให้เกิดเติบโตของร้านอาหาร และการท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่มีการเติบโตก้าวกระโดด ค้นใน google search ในเรื่องเห็ดถอบสูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กระบวนการเปลี่ยนแปลงสินค้าของเห็ดถอบ ทำให้ราคาเห็ดถอบราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จากกิโลไม่กี่สิบบาท เป็นราคากิโลหลักร้อย เห็ดถอบที่ราคาดี ชาวบ้านจะเก็บไว้กินเอง ร้านอาหารจะเป็นเห็ดถอบราคากลาง ๆ แม่ค้าคนกลางส่งเห็ดถอบมีรายได้เป็นล้าน เห็ดถอบตกเกรดจะอยู่ในกระป๋อง ดังนั้นผู้คนในต่างประเทศเห็ดถอบอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลก แต่ต่างตรงที่ว่าตลาดนี้ท้องถิ่นเป็นผู้ควบคุม ชนชั้นกลางในเมืองกินเกรดกลาง และคนต่างประเทศและคนท้องถิ่นได้กินอาหารดี

ในเรื่องการสะสมทุน ไม่มีตัวเลขรายครัวเรือน ในช่วงรายอาทิตย์ 10,000 -50,000 บาท แม่ค้าคนกลางมีรายได้เป็นล้าน การสะสมทุนในระดับท้องถิ่น การไหลเวียนของเศรษฐกิจนี้กระจายรายได้ไปสู่คนในชุมชน การที่เห็ดถอบเดินทางไปสู่โต๊ะอาหาร มันถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางโครงสร้างอย่างที่ว่าไปแล้ว มันมีการเปลี่ยนแปลงคือ 1.การหาเห็ดถอบกระจายมากขึ้น มีลักษณะที่เคลื่อนย้ายมากยิ่งขึ้น (Mobile) มีทั้งคนในและนอกชุมชน  แรงงานข้ามชาติก็มาหาเห็ดด้วยเป็นต้น

2. เห็ดถอบมีการคัดเกรดแต่กระบวนการไม่ได้เป็นทุนนิยมเต็มตัว ทำให้อำนาจการต่อรองยังอยู่ในมือผู้หาเห็ดและผู้ค้าเห็ดในท้องถิ่น 3. เกิดการเลื่อนชั้นสถานะของผู้เก็บเห็ดป่า, เครือข่ายผู้ค้าเห็ดและพื้นที่การค้าเห็ดอันหลากหลาย โดยผู้เก็บเห็ดป่าจำนวนไม่น้อย ได้ผันตัวไปเป็นผู้ค้าเห็ดที่ใช้ช่องทางการค้าเห็ดหลากหลายช่องทาง ทั้งในตลาดท้องถิ่น ตลาดในเมือง และตลาดออนไลน์ และเกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้ค้ารายย่อยในชุมชน กับผู้ค้าระดับต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับตลาดหลายระดับ ตลอดจนร้านอาหารพื้นเมือง 4. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีบทบาทสำคัญในการสร้างความปรารถนาในการบริโภคเห็ดป่า รวมทั้งทรัพยากรจากป่าชนิดต่าง ๆ ในหมู่ชนชั้นกลางในเมือง 5. การที่การเก็บหาของป่าและการพึ่งพาป่า ได้กลายเป็นฐานการดำรงชีพหลักที่เข้ามาแทนที่เกษตรพาณิชย์ในหลายชุมชนในเขตป่า 6. เห็ดป่ายังคงเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนร่วม (common property) ที่มิได้ถูกผูกขาดการถือครองโดยปัจเจกบุคคลหรือชุมชน ความยืดหยุ่นของลักษณะสิทธิในทรัพยากรนี้ ได้ช่วยให้ผู้คนชายขอบของสังคม ยังคงสามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยทรัพยากรจากป่า และการหาเห็ดป่า ยังคงเป็นกิจกรรมที่สร้างความรื่นรมย์ และให้อิสรภาพกับผู้คน นอกระบบการผลิตที่เต็มไปด้วยการขูดรีดของระบบทุนนิยม

ดีเบตเรื่องไฟกับเห็ด เห็ดและฝุ่นควัน

การเก็บหาของป่าโยงกับปัญหาไฟป่า ก่อนที่สังคมไทยจะมีปัญหาฝุ่นควันหรือตระหนักถึงปัญหาฝุ่นควัน โยงแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งคำถาม ทุกปีก็จะมีข่าวมาจากการเผาป่าหาเห็ด มีการปักป้ายเรียบร้อย การเผาป่ากับการใช้ไฟ มันต่างกัน นักวนศาสตร์มองเรื่องการใช้ไฟในป่าอย่างไร ไปสัมภาษณ์หัวหน้าอุทยานและหาข้อมูลวนศาสตร์จากหลายที่ สิ่งที่พบคือนักป่าไม้กับชาวบ้านเห็นตรงกัน นักป่าไม้แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีปัญหาเรื่องการชิงเผา การชิงเผาจะอยู่ในแผนการจัดการไฟป่า ปีนี้แม้จะมีการประกาศห้ามเผาก็พบว่ามีการชิงเผา อดีตคณบดีคณะวนศาสตร์ก็พูดชัดเจนว่าป่าบางชนิดต้องไหม้ไฟโดยเฉพาะป่าเต็งรัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้ป่าเต็งรังเป็นป่าชนิดอื่น ทำลายความหลากหลายของประเภทป่า สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ไฟมันควบคุมได้

อดีตคณบดี พูดว่าเคยมีการทดลองไม่เผาในป่าเต็งรังติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี ป่าเต็งรังจะค่อย ๆ ตายและจะถูกทดแทนด้วยไม้ในป่าดิบแล้ง แต่ก็ทำให้ป่าเต็งรังสภาพดินชื้น เกิดเชื้อรา ต้นรัง ต้นพลวง ยืนต้นตาย นอกจากนี้ต้นไม้ในป่าเต็งรังไม้ในป่าจะมีรากและเปลือกที่มีความทนไฟ ต่อให้เกิดไฟไหม้ก็ไม่กระทบราก แต่จะช่วยเปิดหน้าดิน ก็จะทำให้ลูกไม้แตก และเติบโต

นอกจากนี้ อ.สมศักดิ์ สุขวงศ์ ไทยมีป่าเต็งรังกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ป่า ก็ยังอธิบายว่าป่าเต็งรังมักจะกระจายอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรต่อพื้นที่สูง เพราะชาวบ้านต้องพึ่งพิงป่า ไฟจะไหม้ในป่าเต็งรังทุกปี แต่ระดับของไฟจะต่ำมากขนาดที่ตัวแลนวิ่งข้ามไฟได้ ไม่ได้ไหม้เป็นผืน แต่จะไหม้แบบขนมครกเพราะเชื้อเพลิงน้อย อย่างไรก็ตามบางท่านมีแนวคิดว่าต้องป้องกันไฟในป่าเต็งรังเพื่อรักษาป่าไว้ คำถามคือประเทศไทยมีป่าเต็งรังดีหรือไม่ดี จะปล่อยเป็นป่าดิบแล้งทั้งประเทศเลยได้หรือไม่ นักวนศาสตร์ควรออกมาอธิบายในเรื่องนี้ ที่สำคัญป่าที่เปลี่ยนแปลงไปจะไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงของชุมชนได้ เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องไฟกับป่ามันน่าจะจบ เพราะในทางวนศาสตร์เขาใช้ไฟในการจัดการป่ามานานแล้ว ไม่เฉพาะในประเทศไทย ต่างประเทศเขาก็ใช้กัน

ความจริงแล้วปัญหาใหญ่คือการทำให้ไฟอยู่ในระบบการควบคุม และทำอย่างไรให้การจัดการไฟไม่ก่อปัญหาฝุ่นควันโดยเฉพาะในแอ่งกระทะแบบเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันถึงจุดที่ต้องยอมรับกันได้แล้วว่าการไม่เอาไฟเป็นวิธีคิดแบบเจ้าจักรวรรดิ์ หลายประเทศเขาเปลี่ยนวิธีคิดนี้ไปนานแล้ว ถ้าเราจะเปลี่ยนวิธีคิดนี้ การชิงเผาก็ต้องดูสภาพภูมิอากาศ ทิศทางลม ดัชนีระบายอากาศเป็นตัวชี้วัดว่าจะชิงเผาได้หรือไม่ได้ ระบบ Fire D มีแค่การอนุมัติเผาหรือไม่เผา ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าชิงเผาเท่าไหร่ในแต่ละวันที่เมืองแอ่งกระทะจะยอมรับได้ อาจต้องมีความรู้หลายชุดมากขึ้นในการจัดการไฟมากขึ้น

อยากทิ้งประเด็น การใช้ไฟมีผลกับเห็ดถอบ ถือเป็นช่องว่างทางความรู้ จำเป็นต้องมีคนมาศึกษาเรื่องนี้ เช่นเห็ดบางชนิดต้องขึ้นในพื้นที่เผาไหม้เท่านั้น แต่ข้อมูลบางส่วนบอกว่าเห็ดถอบนั้นไม่จำเป็นต้องเผาไหม้ แต่ชาวบ้านก็บอกว่าถ้าไม่เผาเห็ดถอบไม่ขึ้น หรือขึ้นไม่มาก งานวิจัยที่ทำโดยอาจารย์วนศาสตร์ตั้งแต่ปี 2561 ที่ห้วยขาแข้ง และอีกชิ้นก็เห็นตรงกันว่า ไฟไม่ใช่ปัจจัยทำให้เห็ดขึ้น แต่เป็นเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เห็ดออกมากกว่า ขณะเดียวกันเมื่อไปลดลองไปใช้ในแปลงที่ใช้ไฟ เผาทุกปี 2 ปี 6 ปี และไม่เผาเลย ข้อมูลก็ออกมาตรงกันว่าแปลงที่มีการเผาคุณภาพของเห็ด และน้ำหนักมันสูงกว่า งานของนักวนศาสตร์ที่ห้วยขาแข้งเขาเห็นว่าเพื่อให้ป่าเต็งรังมีสเถียรภาพคือระยะการเผาที่เหมาะสมคือทุก 2 ปี ถ้าเผาทุกปีป่าก็เสื่อมโทรมเหมือนกัน ตราบใดที่เห็ดถอบไม่สามารถเพาะเลี้ยงนอกป่าเต็งรัง จำนวนของเห็ดถอบขึ้นอยู่กับไม้ตระกูลยาง ขึ้นอยู่กับป่าเต็งรัง ดังนั้นสมการอันนี้เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว โจทย์ใหญ่จึงเป็นเรื่องการหาคำตอบออกมาไม่ชัดว่าจะใช้ไฟอย่างไร ในพื้นที่เท่าไหร่ จนปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในเรื่องนี้

อยากจะฝากเรื่องระบบ Fire D แน่นอนคือระบบที่ยอมรับไฟ แต่ยังไม่มีขีดความสามารถในการจัดการปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนของฝุ่นควัน ดิฉันคิดว่ากลไกเชิงนโยบายแก้ไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ยังเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะแก้ด้วยกลไกแบบไหน เราจะแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างไร ที่สำคัญเรื่องที่สำคัญเราต้องคุยกับชนชั้นกลางจำนวนมาก ทัศนคติเกี่ยวกับป่าปลอดไฟที่จะทำลายป่าเต็งรัง และการดำรงชีพกับป่า เราจะสู้ได้อย่างไรบ้าง.


ถอดความจากเวที ไฟ เห็ด และการมีส่วนร่วมจัดการไฟของชุมชน จัดโดย สภาลมหายใจเชียงใหม่ มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายสุขภาพ (Health Net) และสมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดนท์ จ.เชียงใหม่.

ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง